สวัสดีค่าาา วันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับชาวนักเขียนให้เพื่อนๆ ได้นำไปปรับใช้กัน ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าตัวเราเองไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ ที่อยู่สังกัดหรือสำนักพิมพ์ใดเลย เราแค่เป็นนักเขียนมือใหม่ที่เขียนนิยายวายบนเว็ปไซต์ต่างๆ และไม่ได้เขียนนิยายเป็นงานหลักเพียงอย่างเดียวจึงไม่ได้มีเวลาโฟกัวมากเท่าไหร่ ซึ่งเราก็เขียนมาหลายปีแล้ว เลยพอจับแนวทางการเขียนให้ไหลลื่นยังไง เขียนจนมันจบได้ยังไง อ้างอิงจากสถิตินิยายที่เราเขียนมีทั้งหมดหกเรื่อง ดรอปไปหนึ่งเรื่อง ยังไม่จบสองเรื่องและจบไปแล้วสามเรื่อง มันครึ่งหนึ่งเลยล่ะ! ก่อนที่เราจะเริ่มเขียนนิยายเรื่องหนึ่งกันเราก็ต้องมีไอเดียกันก่อนใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งเราจำแนกด้วยตัวเองว่ามันจะมีอยู่สอบแบบแบบแรก บางคนจะมีไอเดียมาจากตัวละครของเรื่อง ซึ่งส่วนมากผู้ที่จะเริ่มเขียนนิยายจากการมองตัวละครมักจะมาจากการวาดรูปตัวละครหนึ่งขึ้นมาหรืออาจจะเป็นมีภาพอยู่ในหัวแล้วไปจ้างวาดให้ได้ตัวละครนั้นขึ้นมา จากนั้นค่อยหาเรื่องราวมาจากรูปวาด เช่น มีรูปวาดผู้ชายตากลมผมสีน้ำตาลหน้าตาดูใจดี เห็นแล้วนึกถึงเจ้าของร้านคาเฟ่ ก็เลยมีเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆมาจากร้านคาเฟ่ของเขาอะไรก็ว่าไปแบบที่สอง ชาวนักเขียนส่วนมากจะเป็นคือ ได้ไอเดียมาจากปมเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง หรือฉากๆ หนึ่งที่คิดขึ้นมาได้ จากนั้นค่อยมาเติมรูปร่างของบุคคลในเรื่องราวทีหลัง ซึ่งเราเองก็เป็นในกรณีนี้ทว่าทริคที่เราจะแนะนำคุณนักเขียนสามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งสองทางเลยนะคะสร้างตัวละครตัวหลักของเรื่อง ระบุไว้ชัดเจนทั้งนิสัย รูปร่างหน้าตา อายุส่วนสูงเพื่อให้มองเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในส่วนของการบรรยาย เราก็จะสามารถลงดีเทลรายละเอียดได้มากขึ้นเช่นกัน บางทีเราเขียนไปก็ยังไม่ได้คิดว่าคนแรกที่เขียนกับอีกคนส่วนสูงจะเป็นยังไงหน้าตาประมาณไหน เราก็ต้องเสียเวลาคิดเกี่ยวกับตรงนี้แล้วค่อยไปบรรยายเรื่องราวต่ออีกที ซึ่งมันทำให้รู้สึกขาดตอนนั่นเองค่ะ หากเขียนตั้งแต่แรกเลยจะประหยัดเวลามากขึ้นด้านล่างคือตัวอย่างในนิยายที่เราเขียนเองค่ะ มาจากเรื่อง code name XY001 ตัวละครดำเนินเรื่องหลักคือลูก้า จึงมีรายละเอียดเยอะกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา ส่วนตัวละครหลักอื่นก็จะระบุดีเทลประมาณนี้เลยค่ะ (อย่าลืมเขียนพวกอุปนิสัยของตัวละครด้วยนะคะ เราไม่ได้มาให้ดูเพราะมันจะเป็นการสปอยล์เนื้อหามากเกินไป แหะ)หมั่นบันทึกชื่อสถานที่ ชื่อต่างๆที่ปรากฏในเรื่อง/บันทึกวิธีการพูดคุยเช่นชื่อหมา ชื่อโรงเรียน และตัวละครสมทบที่ไม่ค่อยมีบท กันเอาไว้เผื่อต้องใช้เขียนตอนใหม่จะได้ไม่เสียเวลาย้อนไปอ่าน เวลาที่เราเขียนเราก็จะเปิดโปรแกรมเวิร์ดคอยบันทึกไว้ด้วยไปพลางๆบันทึกการพูดคุยมันค่อนข้างจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ เพราะบางตัวละครเราเอาเข้ามาแล้วก็ออกไปนาน พอจะกลับมาอีกครั้งก็มักจะลืมว่าบุคคลนี้คุยกับคนอื่นยังไง แทนตัวเองยังไงวางโครงเรื่องไว้อย่างน้อยสามพ้อยท์หลักอย่างเช่น พ้อยท์1 พ้อยท์2 ระหว่างถึงพ้อยสองก็อาจจะมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น และระหว่างที่เขียนไปก็สามารถปรับเปลี่ยนโครงได้ตลอดเวลา บางทีเราก็มีพ้อยท์ต้น กลาง จบ โดยส่วนตัวของเราแล้วทุกครั้งเลยตอนจบมักจะได้เปลี่ยนใหม่ไม่เคยเป็นเหมือนเดิมเลยค่ะ วางไว้ก่อนให้สบายใจแล้วมาเปลี่ยนทีหลัง5555 บางคนก็เขียนแค่พ้อยท์สองพ้อยท์ ไม่ได้วางตอนจบ ตอนจบค่อยมาคิดเอาระหว่างทางทีหลังก็ได้ด้านล่างนี้คือตัวอย่างที่เราทำขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น(มั้งนะ) ปกติเราจะไม่เขียนเป็นกราฟจะพิมพ์เอาไว้เป็นหัวข้อเลย แต่เอามาไม่ได้มันจะสปอยล์เนื้อหาของเราเกินไป แหะๆ ตรงนี้จะเห็นว่าระหว่างทางไปยังส่วนสำคัญใหญ่ๆ ที่สองก็มีอะไรเกิดขึ้นตามมาเหมือนกัน ก่อนจะเขียนตอนถัดไป ควรจะวางแผนคร่าวๆ เอาไว้ก่อนจะเขียนตอนถัดไป ควรจะวางแผนคร่าวๆ เอาไว้ว่าจะเขียนยังไง เป็นฉากอะไรพูดคุยอะไรกัน พอเราจะเขียนจริงๆ จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ ค่อยมีเติมดีเทลมันอีกทียกตัวอย่างเช่น บทที่จะเขียนต่อไปมีอยู่สองส่วน เราก็จะพิมพ์พ้อยท์มันเอาไว้ว่าเป็นตอนที่นายเอหนีออกจากบ้านไปเตร่อยู่แถวสวนสาธารณะ เจอกับนายบีที่มาวิ่งแล้วมาเจอพอดีเลยคุยกันว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ กินข้าวหรือยัง บลาๆๆๆ จากนั้นนายบีก็ให้นายเอกลับไปที่บ้านด้วยอยู่ด้วยกันชั่วคราวพาร์ทครึ่งหลัง นายเอตอบแทนนายบีที่ให้อยู่บ้านด้วยเลนตื่นมาทำอาหารเช้าให้ คุยกันกระหนุงหระหนิงเหมือนข้าวใหม่ปลามัน บลาๆๆๆหากมันตันจริงๆ ควรจะเฟดออกมาจากเรื่องนั้นไปเขียนกับเรื่องอื่นก่อน หากมันตันจริงๆ เราจะเฟดออกมาจากเรื่องนั้นไปเขียนกับเรื่องอื่นก่อน ปกติเราจะเขียนสองถึงสามเรื่องไปพร้อมกันอยู่แล้ว พอตันเรื่องหนึ่งคิดไม่ออกก็จะมาเขียนอีกเรื่องก่อน เพราะเราไม่อยากดันทุรังเขียนไปในตอนที่เราคิดไม่ออก มันอาจจะไม่ตรงใจเราจริงๆอย่างที่วางไว้อยากให้มันเป็น เพราะเราแค่หาอะไรมาเติมเพื่อให้ถึงพ้อยท์หลัก เราเลยอาจจะลืมความสำคัญบางอย่างของมันไปก็ได้และเทคนิคนี้เราเอาไว้ใช้ฮีลตัวเองเวลาที่เขียนซีนดราม่าหนักๆ จนความรู้สึกเราดิ่งมากๆ เราก็จะไปเขียนอีกเรื่องที่ตัวละครมีความสดใส ไม่คิดเยอะ เขียนอะไรไปก็มีแต่เรื่องสนุก มันคือเรื่อง เจ้าของพยัคฆา เรื่องนี้มันค่อนข้างดาร์กทีเดียว แต่ไม่ได้ดราม่าในเรื่องความสัมพันธ์ของพระนายเลยค่ะ จุดนี้เลยยังเป็นสิ่งฮีลใจของใครหลายคนเพราะพวกเขายังยึดมั่นกับคู่ของตนเอง ส่วนอีกเรื่องที่เราเขียนเพลินมาก เขียนไปขำไปคือเรื่อง ท่านอ๊องโปรดสำรวม ตัวละครหลักของเรื่องเป็นคนไม่คิดอะไรเลย ไม่ใส่ใจกับอดีตไม่เอะใจอะไรเลย ขี้หลงขี้ลืม ทั้งยังขายขำเก่งมาก ไปตามอ่านกันได้นะคะ อิอิ สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกนักเขียนทุกคนว่าสู้ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนเลย นิยายของพวกคุณดีมากๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยตัวเองว่าเขียนไม่ดีหรือเปล่าทำไมคนอ่านน้อยจัง นักอ่านเพียงยังไม่ค้นพบนิยายดีๆ ของคุณเท่านั้นเอง เราเองยอดอ่านของแต่ละเรื่องไม่ได้เยอะเลย บางเรื่องก็หลักแสน หลักหมื่น หลักพัน แล้วแต่ช่วงนั้นว่านักอ่านนิยมอ่านแนวไหนกัน แล้วเราก็ไม่ใช่สายเขียนตามกระแสนิยมเท่าไหร่ก็ต้องยอมรับตรงนี้ด้วยว่านักอ่านจะค้นพบเราน้อยลง แรกๆ เราก็น้อยใจเพราะไม่มีฟีดแบ็คกลับมาเลย เราก็จนปัญญาไม่รู้จะต่อไปยังไงไม่รู้ว่าเขียนไม่ดีตรงไหนและไม่รู้ว่าต้องปรับปรุงตรงไหน แต่เราก็ยังเขียนต่อไปเพราะเป็นสิ่งที่เรารักและเรายังมีนักอ่านที่ยังติดตามอยู่ แม้มันจะน้อยแต่นักอ่านที่อยู่ข้างๆ เรามันสำคัญกับเรามากจริงๆ ฉะนั้นแล้วหากคุณเป็นนักอ่านในเงา เราก็อยากฝากให้คุณไปคอมเมนต์พูดคุยให้กำลังใจกับนักเขียนคนโปรดของคุณด้วยนะคะ คอมเมนต์ฟัดแบ็คมันเป็นแรงกระตุ้นสำคัญของนักอ่านจริงๆ จะเป็นแค่สติ๊กเกอร์หรืออิโมจิน่ารักๆ สักตัว พวกเขาก็แฮปปี้มีแรงเขียนต่อแล้วล่ะ ท้ายที่สุดนี้ หากเพื่อนๆ มีทริคในการเขียนนิยายดีๆ คอมเมนต์มาแชร์กันได้นะคะ ทางนี้ยินดีน้อมรับไปใช้มากเลยค้าบบบเครดิตรูปปก1 : Sofia Iivarinen จาก Pixabayเครดิตรูปประกอบ1-3 : ZEEYOU Diary4 : Thought Catalog จาก Pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !