TOP ราคาร่วง 7.98% นักลงทุนหวั่นเพิ่มทุน 10,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นบริษัทปิโตรเคมีอินโดนีเซีย
ข่าววันนี้ หุ้น TOP ราคาร่วงลง 7.98% มาอยู่ที่ 43.25 บาท ลดลง 3.75 บาท เมื่อเวลา 11.13 น. โดยเปิดตลาดที่ 43.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 43.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 42.50 บาท โดยบล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บมจ. ไทยออยล์ (TOP) ประกาศซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บริษัท Chandra Asri (CAP) ปิโตรเคมีประเทศอินโดนีเซีย มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,200 ล้านเหรียญฯ หรือ 40,000 ล้านบาท เพื่อถือหุ้น 15.38% ซึ่ง TOP จะกู้เงินจาก PTT, ขายหุ้น GPSC และออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อนำเงินมาลงทุนดังกล่าว คาดว่าการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน CAP จะแล้วเสร็จในกันยายน 2564
การจัดหาเงิน 1. กู้เงินจาก PTT ประมาณ 22,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.5% และ 2. ขายหุ้น GPSC 10.8% ให้กับ PTT คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 20,000 – 24,000 ล้านบาท รวมถึง 3. ออกหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็น RO,PP หรือ Warrant
Chandra Asri (CAP) เป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีขนาดใหญ่ประเทศอินโดนีเซีย ครองตลาดปิโตรเคมีในอินโดนิเซียกว่า 50% CAP มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก่อนเพิ่มทุน คือ Barito Pacific Group (60%), SCG Chemicals (30.6%) หลังเพิ่มทุนจะเป็น Barito Pacific Group (45%), SCG Chemicals (30.6%), TOP (15.4%) และ CAP จะเอาเงินเพิ่มทุนเพื่อไปใช้ขยาย Capacity (โครงการ CAP2) จาก 4.2 ล้านตัน เป็น 8 ล้านตัน โดยจะ FID ปี 2565 และ COD ปี 2569
พร้อมประเมินว่าระยะสั้นอาจจะมีแรงกดดันต่อราคาหุ้น TOP จากประเด็นที่จะต้องเพิ่มทุน และการ Investment ที่มีเงินลงทุนค่อนข้างสูง ในขณะที่ปัจจุบัน Interest bearing debt to equity ratio ของบริษัทอยู่ที่ 1.4 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง แต่ในระยะยาวมองว่า Dealที่ ดี ทำให้ TOP สามารถขยายธุรกิจไปปิโตรเคมีที่เป็น Value chain ให้กับบริษัทได้ โดยส่ง Naphtha ที่จะได้เพิ่มจากโครงการ CFP ไปยัง CAP ได้ และประเมินว่า deal ไม่แพง ถึงแม้จะคิด Transaction/EBITDA ที่ 15 เท่า แต่ถ้าในอนาคตโครงการขยายกำลังผลิต CAP2 กว่าเท่าตัวสำเร็จ Transaction/EBITDA ก็จะปรับลดลงมาเป็น 8-9 เท่า
ผลกระทบต่องบการเงินระยะสั้น จะทำให้ดอกเบี้ยของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท จาก Bridging loans และส่วนแบ่งรายได้จาก GPSC เดิมรับรู้เป็น Equity จะปรับเป็น Dividend Income (GPSC payout ratio อยู่ประมาณ 50%) ทำให้รายได้ที่ TOP จะได้ลดลงไปประมาณ 1.0-1.2 พันล้านบาท ในขณะที่ TOP จะได้ Equity จาก CAP ประมาณ 800-1,400 ล้านบาท (ยังไม่ได้ขยาย Capacity) ขึ้นอยู่กับช่วงของ Cycle ปิโตรเคมี เมื่อสุทธิกันแล้วระยะสั้นผลกำไรของ TOP จะลดลง 800-1,200 ล้านบาท
โดยสรุประยะสั้นจะเป็นลบต่อราคาหุ้นจากการลงทุนที่ค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทต้องมีการเพิ่มทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยคาดราคาเพิ่มทุนอาจจะอยู่ราว 40-45 บาท ด้วยอัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1.2 หุ้นใหม่ เบื้องต้นแนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะนี้ก่อนจากประเด็นการเพิ่มทุน ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 60.00 บาท อิง Avg PBV ที่ 1 เท่า