คัดมาแล้ว!! 8 หุ้นต้องจัด! ควรมีติดพอร์ต


บล.เคจีไอ ระบุ หลังจากที่รัฐสภาลงมติเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกคนใหม่แล้ว คาดว่ารัฐบาลใหม่น่าจะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคเป็นอันดับต้นๆ เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากไม่เกิดภาวะ shock ใหม่ๆ จากปัจจัยภายนอก
ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวโน้มเศรฐกิจในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นจะช่วยผ่อนกระแสการปรับลดประมาณการ EPS ของบริษัทใน SET ลงได้ ในขณะที่ราคาหุ้นในตลาดดูเหมือนจะเต็มมูลค่าสำหรับปี 2566 แล้ว แต่เป้าดัชนีกลางปี 2567 ที่ 1,630 จุดยังมี upside อีก และฝ่ายวิจัยแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มสถานะหุ้น domestic และหุ้น confidence play ในกลุ่ม commerce, ไฟแนนซ์, สื่อ และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งหุ้นเด่นที่เลือก ได้แก่ CPALL*, CPN*, CRC*, SAWAD*, TIDLOR*, PLANB*, AMATA* และ WHA*
เพิ่มพอร์ตหุ้นเชื่อมโยงศก.ภายในประเทศ รับการเมืองชัดเจน
นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ได้รับการลงมติให้เป็นนายกคนที่ 30 ของไทย ทำให้สุญญากาศทางการเมืองที่ยาวนาน 3 เดือนสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม รัฐสภาไทยมีมติ 482 เสียง เลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ซึ่งเป็นการยุติสุญญากาศทางการเมือง ที่ดำเนินมาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมา ทั้งนี้ เมื่อมองไปข้างหน้า นายเศรษฐาจะต้องตั้งคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยนโยบายการบริหารประเทศภายใน 15 วันนับจากนี้ ซึ่งในขณะที่เราเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ ยังไม่มีการยืนยันรายชื่อรัฐมนตรีกระทรวงหลักออกมา ทั้งนี้ สื่อในประเทศคาดว่าจะมีการโปรดเกล้าให้คุณเศรษฐารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอีกไม่กี่วันนี้
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่าการกระตุ้นการบริโภคน่าจะเป็นนโยบายอันดับต้นๆ ของรัฐบาลใหม่ ในขณะที่สภาจะต้องเร่งกระบวนการจัดทำงบประมาณรัฐบาลปี 2567 จากการที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะให้ความสำคัญกับนโยบายกระตุ้นการบริโภคเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งคิดว่าสามเสาหลักของนโยบายกระตุ้นจะมาจาก การสนับสนุนรายได้เกษตรกร, digital wallet 10,000 บาท และ การปรับเงินเดือนเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี และคนงาน แต่อีกด้านหนึ่งที่ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน คืองบประมาณรัฐบาลปี 2567 ซึ่งต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาให้เร็วที่สุด เพื่อที่รัฐบาลใหม่จะได้สามารถใช้จ่ายงบต่าง ๆ ตามนโยบายใหม่ และสามารถลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ได้
การตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็วอาจจะช่วยผ่อนกระแสการปรับลดประมาณการ EPS ลง และคาดว่าตลาดจะมี upside มากขึ้นเมื่ออิงจากมูลค่าหุ้นกลางปี 2567 ดังที่เคยระบุไว้ในบทวิเคราะห์กลยุทธ์เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่ากระแสการปรับลดประมาณการ EPS ของบริษัทจดทะเบียนไทยน่าจะใกล้จบแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแนวโน้มว่าจะสามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็ว หลังการลงมติเลือกนายกโดยรัฐสภาเมื่อวานนี้ ถึงแม้เราจะคาดว่า GDP ปีนี้จะโตไม่มาก และการปรับลด EPS ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ระดับดัชนีที่เหมาะสมในปี 2566 อยู่ที่ 1,525 จุดเท่านั้น
แต่มองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะที่จะมองไปข้างหน้า และขยับไปใช้ประมาณการ และราคาเป้าหมายกลางปี 2567 ทั้งนี้ โดยคำนวณเป้าดัชนีกลางปี 2567 ได้ที่ 1,630 จุด อิงจากเป้า PE ที่ 16.0x (ค่าเฉลี่ยระยะยาว + 0.3S.D.) ซึ่งในขณะที่ EPS มีแนวโน้มจะโตได้ 14% ในปี 2567 และไม่มีแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว จึงมองว่า PE เป้าหมายของฝ่ายวิจัยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวเล็กน้อยน่าจะเป็นระดับที่ไปถึงได้
เน้นซื้อขายหุ้นธีมความชัดเจนการเมือง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น ในกลุ่มcommerce, ไฟแนนซ์, สื่อ และนิคมอุตสาหกรรม สำหรับแนวโน้มในระยะสั้น มองว่าหุ้น domestic play จะยังคง outperform หุ้น global cyclical ซึ่งจะยังคงถูกกดดันจากมุมมองที่ยังมีทั้งบวกและลบต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของ Fed และตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน
ในขณะเดียวกันมองว่าธีมการซื้อขายหลักของหุ้น domestic และประเด็นการเมือง ได้แก่ i) กลุ่ม commerce ซึ่งจะได้อานิสงส์จากแผนเพิ่มรายได้เกษตรกร และ digital wallet ii) กลุ่ม finance ซึ่งจะได้อานิสงส์จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะถึงจุดสูงสุด iii) กลุ่มสื่อ ซึ่งจะได้อานิสงส์จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น และการบริโภคที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 2H66 และ iv) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากแนวโน้มยอดขายที่ดินที่แข็งแกร่ง ซึ่งจากธีมข้างต้น หุ้นเด่นที่เลือกได้แก่ CPALL*, CPN*, CRC*, SAWAD*, TIDLOR*, PLANB*, AMATA* และ WHA*