"ทรัมป์" ลดใช้เชื้อเพลิง-รถราคาถูกลง แต่ค่าน้ำมันพุ่ง

รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอปรับลดมาตรฐานความประหยัดน้ำมันของรถยนต์ที่เคยวางไว้ในยุคไบเดน โดยสำนักงานความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) และสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (EPA) เสนอให้ลดเป้าหมายอัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ยลงมาอยู่ที่ 34.5 ไมล์ต่อแกลลอนภายในปี 2031 จากเป้าหมายเดิม 50.4 ไมล์ต่อแกลลอน

การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐ รวมถึงค่ายใหญ่ทั้ง Ford, GM และ Stellantis ประหยัดต้นทุนด้านเทคโนโลยีได้ราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์จนถึงปี 2031 หากนำส่วนต่างไปสะท้อนในราคาขายปลีก NHTSA ประเมินว่าราคารถใหม่เฉลี่ยอาจถูกลงราว 930 ดอลลาร์ต่อคัน ถือเป็นแรงหนุนสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเผชิญต้นทุนสูงและการแข่งขันด้านรถไฟฟ้า

แต่ด้านกลับกัน การประหยัดเทคโนโลยีทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น NHTSA ประเมินว่า มาตรการใหม่นี้จะทำให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกราว 100,000 ล้านแกลลอนภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับมาตรฐานยุคไบเดน คิดเป็นภาระค่าน้ำมันของชาวอเมริกันรวมสูงสุดถึง 1.85 แสนล้านดอลลาร์ในระยะยาว ทำให้ประโยชน์ที่ได้จากราคารถถูกลงถูกหักล้างอย่างรวดเร็ว

ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมชี้ว่า เมื่อพิจารณาตลอดอายุการใช้งานรถ ตั้งแต่รุ่นปี 2027 เป็นต้นไป ผู้บริโภคจะจ่ายค่าน้ำมันตลอดอายุรถสูงกว่าต้นทุนเทคโนโลยีที่ถูกลงในทุกกรณีที่หน่วยงานรัฐใช้ในการวิเคราะห์ และผู้ที่ผ่อนรถระยะยาวอาจแทบไม่รู้สึกถึงประโยชน์ระยะสั้นจากราคารถที่ลดลง เพราะต้องทยอยจ่ายค่าน้ำมันที่สูงขึ้นไปพร้อมกัน

นอกจากภาระกระเป๋าสตางค์แล้ว การลดมาตรฐานยังมีผลด้านสิ่งแวดล้อม NHTSA ระบุว่าข้อเสนอใหม่นี้จะทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์สูงขึ้นราวร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับเกณฑ์เดิม ขณะที่ภาคขนส่งถือเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ การยกเลิกมาตรการเข้มงวดที่ออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยมลพิษย่อมกระทบต่อความพยายามรับมือภาวะโลกร้อนในระยะยาว

ฝ่ายบริหารทรัมป์ย้ำมุมมองว่าการผ่อนคลายมาตรฐานจะช่วยฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐ เปิดทางให้ผลิตรถรุ่นที่ใช้น้ำมันมากขึ้นได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ด้านผู้บริโภคเตือนว่าผลกระทบที่แท้จริงต่อราคาขายและค่าน้ำมันยังต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะเห็นชัด เพราะรอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์รถยนต์ถูกวางล่วงหน้าหลายปีแล้ว