Hermès ขึ้นราคาในสหรัฐฯ ผลกระทบจาก "ภาษีทรัมป์" l การตลาดเงินล้าน

Hermès แบรนด์สินค้าหรูสัญชาติฝรั่งเศส ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า บริษัทจะผลักภาระภาษีในสหรัฐฯ ไปยังลูกค้าระดับมั่งคั่งอย่างเต็มที่ หลังรายงานยอดขายไตรมาสแรกที่เติบโตต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งนับเป็นสัญญาณอ่อนแรงที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก โดยยอดขายไตรมาสแรกของ Hermès ได้รับผลกระทบจากภาวะซบเซาในจีนอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังทำได้ดีกว่าแบรนด์หรูคู่แข่งอื่น ๆ

ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา LVMH รายงานยอดขายในกลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนังซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ลดลงร้อยละ 5 ส่งผลให้ Hermès ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทสินค้าหรูที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก

ในขณะที่ Hermès กำลังปรับตัวรับมือกับสงครามการค้าที่เกิดจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บริษัทจึงใช้จุดแข็งเรื่อง “อำนาจตั้งราคา” ของแบรนด์หรูระดับสูงที่สุด โดยจะบวกภาษีเพิ่มเข้าไปในราคาสินค้าทั้งหมดที่จำหน่ายในสหรัฐฯ

ทั้งนี้เป็นการปรับขึ้นราคานอกเหนือจากการขึ้นราคาตามปกติที่อยู่ในช่วงร้อยละ 6-7 สำหรับปีนี้

เอริก ดู ฮัลเกต์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Hermès เปิดเผยว่า จะชดเชยผลกระทบจากภาษีชุดใหม่โดยการปรับขึ้นราคาขายในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นราคาในเดือนกุมภาพันธ์

Hermès ซึ่งเป็นที่รู้จักจากกระเป๋า Kelly และ Birkin ที่มีราคาขั้นต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์ (332,905 บาท) สำหรับรายงานยอดขายในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมีนาคมอยู่ที่ 4.1 พันล้านยูโร ( 4 พัน 100 ล้านยูโร) เติบโต ร้อยละ 7 แบบปรับอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเติบโตร้อยละ 9.8 

ทั้งนี้ Hermès ยังคงควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวด โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเพียง ร้อยละ 6-7 ต่อปี เพื่อรักษาความพิเศษของสินค้าเครื่องหนัง และเป็นปัจจัยที่ช่วยให้บริษัทรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ แม้จะจำกัดการเติบโตในบางช่วง

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Hermès กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งยังคงมียอดขายเติบโตเลขสองหลัก แต่บริษัทก็มีความระมัดระวังเกี่ยวกับตลาดสหรัฐฯ ท่ามกลางการเจรจาและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงมากในช่วงที่ผ่านมา