คำว่าพยนต์ แปลว่า สิ่งที่ผู้ทรงวิทยาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้น* ซึ่งเป็นศาสตร์ชั้นสูงที่จอมขมังเวทย์ทั่วไปไม่สามารถประกอบพิธีปลุกหุ่นพยนต์ให้สำเร็จได้โดยง่าย พยนต์นี้เป็นศาสตร์ที่แพร่หลายในเอเชีย ทั้งมีปรากฏในพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กที่ขงเบ้งทำพยนต์วัวในการขนถ่ายเสบียง ปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่องขุนช้าง – ขุนแผน และยังพบได้จากเรื่องเล่าเชิงคติชนของชาวอีสานในอดีตอีกหลายเรื่องภาพจากpixabay.comแม้ว่าศาสตร์แห่งพยนต์นี้ไม่ปรากฏประวัติความเป็นมา แต่ผู้เขียนได้ศึกษาและสืบค้นเรื่องพยนต์จากกลุ่มผู้สูงอายุในภาคอีสาน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดดังนี้1. หุ่นพยนต์ / ภูตพยนต์ภาพโดยผู้เขียนหุ่นพยนต์ประเภทนี้จะทำพยนต์เป็นลักษณะหุ่นคล้ายคนหรือนักรบโบราณถือดาบ วัสดุที่ใช้ทำมี 3 ชนิด คือ หุ่นกระดาษทำจากกระดาษเขียนยันต์พันด้วยสายสิญจน์ หุ่นเทียนหรือหุ่นขี้ผึ้งทำจากขี้ผึ้งปิดปากและตาศพที่ตายด้วยการถูกฆ่า หุ่นโลหะ (สัตโลหะ) ทำจากโลหะ 7 ชนิด นำมาหลอมด้วยเบ้าดินจอมปลวก หุ่นพยนต์หรือภูตพยนต์นี้จะสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเวลาดวงตกหรือใช้เพื่อป้องกันคาถาเข้าตัวเมื่อถึงวันลึบ ซึ่งผู้เรียนวิทยาคมจะต้องมีวันที่คาถาอ่อนอานุภาพเรียกว่าวันลึบ ตลอดจนใช้งานหุ่นพยนต์เพื่อทำร้ายคู่แข่งให้ถึงแก่ชีวิต แต่ในปัจจุบันหุ่นพยนต์นิยมใช้ในทางโชคลาภ2. สัตวพยนต์ภาพโดยผู้เขียนพยนต์ชนิดนี้จะทำหุ่นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ มี 3 ชนิด คือ นกกระยางพยนต์ ทำขึ้นจากปุยฝ้ายหรือสำลี 7 ก้อน พันด้วยสายสิญจน์ให้เป็นก้อนคล้ายนก แล้วเอาไม้ไผ่รวกมาเหลาทำปากนกติดไว้ นกกระยางพยนต์นี้ใช้เฝ้าฝูงวัวควายป้องกันขโมยหรือสัตว์ร้ายระหว่างทางที่นายฮ้อยนำไปขาย ส่วนพยนต์ชนิดต่อไปคือวัวพยนต์หรือวัวธนูนั่นเอง วัวพยนต์ทำขึ้นจากดิน 7 ที่ ใช้เหล็กเสียบผีทำเป็นเขา ใช้สำหรับป้องกันอาณาเขตและทำร้ายศัตรู และสัตวพยนต์ชนิดสุดท้ายคืองูพยนต์ ทำจากผ้าขาวม้าเขียนยันต์แล้วขอดสามปมปลุกเสก ใช้เฝ้าทรัพย์หรือบุคคลว่ากันว่าเป็นพยนต์ที่ร้ายกาจที่สุด สัตวพยนต์นี้ทำขึ้นใช้งานเป็นครั้งคราว เมื่อเสร็จงานแล้วก็จะทำลายทิ้งไม่สามารถเก็บไว้ใช้เกิน 12 เพ็ญ หรือ 1 ปีได้ภาพโดยผู้เขียนศาสตร์แห่งพยนต์ถือเป็นศาสตร์ลึกลับที่เริ่มสูญหายไปจากสังคมไทยและสังคมภาคอีสานแล้ว คุณค่าของศาสตร์นี้นอกจากจะเป็นคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ยังเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อการศึกษาคติชนวิทยา แนวคิด และปรัชญาของคนอีสานในอดีตสืบไปภาพปกโดยผู้เขียน*อ้างอิงจาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔