ประเทศไทยเราโชคดีที่ไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้น แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ว่าเราจะไม่ได้ภาษานั้น ๆ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ค่ะ แค่เราไม่เป็นเมืองขึ้นของใครก็ภาคภูมิใจที่สุดแล้วค่ะ อย่างไทยเราไม่ได้มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เด็กไทยตั้งแต่เด็กๆจึงต้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษามาตรฐานทั่วโลกและยังมีความจำเป็นอีกด้วยค่ะ เราจะเห็นได้ว่า เด็กไทยในโรงเรียนที่สอนในระบบไทย เรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบ ๆ ปี ทำไมเด็กถึงยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ทำไมโรงเรียนอินเตอร์ เด็กเรียนเพียงแค่ปีเดียวก็สามารถพูดได้แล้ว ....สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เด็กไทย(ในโรงเรียนระบบการเรียนการสอนภาคไทย)ถึงพูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้- เรียนไวยากรณ์(Grammar) มากก็จริง แต่เด็กเรียนแล้วไม่นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พวกเขาเรียนไปเพื่อเก็บเกรดเฉลี่ย ใช้ทำข้อสอบ แต่พวกเขาไม่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ- เด็กมากกว่า70เปอร์เซนต์ กลัวการที่จะสื่อสารกับชาวต่างชาติ กลัวว่าตนจะพูดผิด กลัวจะผิดแกรมม่า กลัวโดนดุ ความกลัวเหล่านี้ทำให้เด็กขาดความมั่นใจในตัวเองที่จะฝึกพูด - จริง ๆ ทักษะแรกที่เด็กไทยต้องเริ่มอันดับแรกก็คือ listening skill เพราะก่อนที่เราจะพูดได้ อ่านออก เขียนได้ เราก็จะต้องฟังให้เป็นก่อน แต่เด็กไทยเรา เลือกที่จะเรียนเขียนเป็นอันดับแรก ก็เหมือนกับภาษาไทยของเรา อันดับแรกคือ เราต้องฟังก่อนถึงจะพูดได้ ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันค่ะ ยิ่งฟังมากเท่าไหร่ การกระตุ้นของสมองจะตอบสนองต่อภาษาใหม่ๆดีขึ้น- เมื่อเรียนที่โรงเรียนทำแกรมม่าไม่ได้ เกรดไม่ดี ก็จะวางกำแพงกั้นใจเลยว่า ตนทำภาษาอังกฤษไม่ได้ ตนไม่ได้แกรมม่า และสิ่งเหล่านี้จะทำให้ใจเขาคิดเชื่อมโยงไปถึงการกลัวภาษาอังกฤษ- ไม่รู้คำศัพท์ เมื่อเด็กไม่รู้คำศัพท์ พอเจอก็จะคิดว่ามันยากไป จำไม่ได้ และล้มเลิกความพยายามลงในที่สุด - มีปมในอดีต หรือ ไม่เปิดใจที่จะรับภาษาเข้ามา เช่น เคยสอบตกภาษาอังกฤษ เคยโดนคุณครูดุ เคยโดนกดดันมากๆ สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เด็กเครียดและกลัวในที่สุด - ขาดวินัยและความพยายามในการฝึก - โดนต่อว่าจากเพื่อนเรื่องสำเนียงการพูด จนทำให้ขาดความเชื่อมั่น เราจะเห็นได้ว่า ปัญหาเหล่านั้นเกิดขึ้นกับเด็กไทยจริง ๆ ที่เหมือนจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เล็กและแก้ไขไม่ได้ง่าย เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่เร็วก็ช้า และเราก็ได้รวบรวมวิธีการแก้ไขปัญหาและวิธีการฝึกมาฝากกันค่ะจากประสบการณ์ตรง วิธีการแก้ไขปัญหา/วิธีการพัฒนา- เมื่อเรียนไวยากรณ์แล้ว เด็กๆ ควรที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ฝึกพูดกับคนรอบข้าง หรือพูดคนเดียวก็ได้เพื่อเป็นการฝึก- ละทิ้งความกลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกลัวชาวต่างชาติ ไม่ต้องกลัวผิดหลักแกรมม่า ให้เรากล้าพูดให้มากที่สุด และมีความมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง หากเรากล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติได้ เราก็สำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น อย่างเช่น เมื่อมีโอกาสได้คุยกับชาวต่างชาติ ก็คุยเถอะค่ะ ไม่ต้องกลัว ถ้าพูดไม่ได้ก็ยิ้มไว้ค่ะ คนไทยเรายิ้มสยามอยู่แล้วเนอะ ก็พยายามพูดให้มากที่สุดค่ะ- ฝึกการฟังภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด เริ่มจากง่ายๆเช่น การ์ตูนทั่วไป หรือ เลือกดูในสิ่งที่เราอยากดู แต่ต้องไม่ยากเกินความสามารถ เมื่่อเราฟังบ่อยๆจะทำให้เราเกิดความเคยชินและคุ้นเคยกับภาษา หากเราฟังอย่างต่อเนื่อง และ พยายามฝึกพูดอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรามีภาษาอังกฤษที่ดีขึ้นค่ะ ยิ่งถ้าฝึกตั้งแต่เด็กๆ ประสิทธิภาพการสำเร็จก็จะรวดเร็วและได้ผลดีมากๆค่ะ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ยังไม่ต้องหมดหวังค่ะ คนเราเริ่มใหม่ได้เสมอ ไม่มีจำกัดการห้ามที่จะเริ่มฝึก ยิ่งเราฝึกเร็วเท่าไหร่เราก็จะประสบความสำเร็จเร็วเท่านั้นค่ะ - ต้องเข้าใจว่า แกรมม่าไม่ได้จำเป็นที่สุด หรือ สำคัญที่สุดในภาษาอังกฤษ หลักภาษาอังกฤษคือ เมื่อเราพูดบ่อย ๆ ฟังชาวต่างชาติพูดบ่อย ๆ เราจะเคยชินและคุ้นเคยกับแกรมม่าไปโดยอัตโนมัติ และอีกอย่าง เมื่อเราพูดผิดหลักแกรมม่า แต่ชาวต่างชาติเขาก็พยายามเข้าใจเรา- เปิดใจให้ได้มากที่สุด ท้อได้แต่ห้ามถอยเด็ดขาด และลองหาแรงบันดาลใจค่ะ เมื่อเรามีแรงบันดาลใจ จะทำให้เราท้อได้น้อยลง และมีความหวังที่จะฝึกต่อไปค่ะ- เลิกสนใจคำดูถูกจากคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะพูดได้ระดับไหน ก็ขอให้จงภูมิใจในตัวเอง แม้คนอื่นจะดูถูก เพราะอย่างน้อยเราก็กล้าที่จะลุกมาพัฒนาตัวเองแล้ว ในมุมมองผู้เขียน คนที่พยายามฝึกพูดแต่พูดไม่คล่อง เขาไม่ได้น่าอายเลย เขาน่าชื่นชมสะอีก ที่เขากล้าที่จะลุกมาพัฒนาตัวเอง แต่คนที่ดูถูกคนอื่นๆทั้งๆที่ตัวเองไม่ลงมือทำ น่าอายกว่าตั้งเยอะค่ะ ด้านบนก็จะเป็นการกล่าวถึงวิธีแก้ปัญหาและการฝึกฝน จากตัวเราที่พอมีประสบการณ์พอสมควรจะขอ เล่าและแบ่งปันเรื่องราวให้หลายๆคนได้อ่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจค่ะ เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของตัวดิฉัน เริ่มแรกเราเป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนประถมธรรมดาๆ ไม่เคยได้เรียนกับชาวต่างชาติ แต่เรารู้สึกว่าตัวเองชอบภาษาอังกฤษ ชอบเรียน ชอบเห็นศัพท์ใหม่ๆ ในตอนนั้นทักษะทางด้านภาษาของตัวเราถือว่าอยู่ในระดับล่างๆเลยละค่ะ เราแค่ชอบแต่เรายังไม่ได้ลองพยายามฝึก จนกระทั่งเราจบป.6 จำเป็นต้องย้ายโรงเรียน เราได้มาเรียนในโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ใกล้ๆตัวเมือง ก่อนเราจะเปิดเทอม เรากลัวเราเรียนไม่ไหว กลัวภาษาเราจะสู้เพื่อนที่นั้นไม่ได้ ก่อนที่จะเปิดเทอม เราก็เลยทำโจทย์ภาษาอังกฤษเยอะมาก ๆ ทุกวันเลย นั้นก็ทำให้ภาษาเราดีขึ้น แค่แกรมม่านะ ตอนนั้นการพูด การฟังเรายังอยู่ระดับล่างอยู่เลย พอเปิดเทอมมา ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด เราได้เรียนกับชาวต่างชาติในวิชาภาษาอังกฤษ และ คอมพิวเตอร์ บอกเลยว่า เราได้เรียนกะครูต่างชาติเรารู้สึกดีใจมาก ๆ เลย ในส่วนของตัวเราไม่กลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เราเป็นเด็กคนเดียวในห้องที่พยายามคุยกะครูต่างชาติมากที่สุด แม้ในตอนแรกๆอาจจะคุยไม่รู้เรื่องก็ตาม เรามีความสุขทุกครั้งที่เราได้คุย แต่ก็มีเพื่่อนหลายๆคนไม่ชอบ คอยแขวะอยู่ตลอด เรื่องสำเนียงบ้าง นู้นนี่นั้นบ้าง แต่เราไม่เก็บคำพวกนั้นมาคิด เราคิดแค่ว่า ถ้าเราอยากพูดได้ เราก็ต้องหัดพูดสิ จะแคร์คำพูดคนอื่นทำไมทั้งปีการศึกษานั้นเราว่าภาษาเราดีขึ้นมากๆเลย เราพูดได้เกือบครึ่งแล้ว เราก็เรียนพิเศษภาษาอังกฤษเยอะนะ แต่ผลสุดท้ายเราคิดว่า เราเรียนไปก็เรียนแต่แกรมม่า ไม่ทำให้เราพูดเก่งขึ้นเลย เราเลยตัดสินใจเลิกเรียนทุกที และหันมาเรียนเองที่บ้านโดยการดูคลิปภาษาอังกฤษบ่อย ๆ แล้วเราก็เอาภาษาที่ได้ศึกษามาใช้ต่อที่บ้าน เราเริ่มจากพูดกับตัวเอง มองทุกอย่างให้เป็นภาษา นับว่าช่วงนั้นเราอัพ skill ขึ้นมาได้เยอะมากๆ พอเราโตขึ้นเราเริ่มที่จะอ่านนิยายของต่างประเทศและแน่นอนคำศัพท์หลากหลาย ในตอนแรกๆเราก็ท้อบ้าง แต่เราก็ค้นพบวิธีที่ว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกคำก็อ่านได้ เราเริ่มอ่านในส่วนที่เราพออ่านได้แล้วสมมติเป็นภาพจินตนาการขึ้นมา เราทำแบบนี้ประมาณ 3-4 เดือน ภาษาเราดีขึ้นมากๆ และทักษะด้านการอ่านเราก็ดีขึ้นยังไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย เราอยากจะบอกว่า ให้ทุกคนสู้ๆนะคะ พยายามต่อไปค่ะ ทุกคนเริ่มจาก0เท่ากัน เราเชื่อว่าเราทำได้ คุณก็ทำได้ค่ะ เด็กไทยเราจะเก่งไปด้วยกันTrick ง่ายๆในการจำคำศัพท์ 1.บางครั้งการที่เรานั่งท่องศัพท์อย่างเดียว ก็ดีค่ะ แต่เราจะจำได้แค่ในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นลองเปลี่ยนแปลงวิธีค่ะ ถ้าชอบที่จะท่อง ก็ต้องขยันแต่งประโยคประกอบด้วยค่ะ และ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน นั้นหมายความว่า เมื่อท่องศัพท์แล้ว ลองแต่งประโยคจากศัพท์คำนั้น เริ่มจากง่ายๆก่อนแล้วค่อยๆขึ้นขั้นสูงค่ะ โดยยังไม่ต้องกังวลเรื่องแกรมม่า เมื่อเราทั้งท่องแล้วทั้งหัดลองแต่งประโยคแล้ว ก็จะทำให้เราจำคำศัพท์คำนั้นได้ในระยะยาวค่ะ2.เลิกมองคำศัพท์ว่ามันยาก เยอะ แต่ให้มองคำศัพท์ใหม่ ๆ ว่าเป็น สิ่งใหม่ๆที่น่าตื่นเต้นและพร้อมที่จะเรียนรู้3.ถ้าไม่อยากท่องศัพท์แบบเคร่งเครียด ก็ลอง หาหนังสืออะไรก็ได้ค่ะ จะเป็นหนังสือนิยายก็ได้ค่ะที่เป็นภาษาอังกฤษเรื่องที่เราชอบจริง ๆ ในตอนที่เราอ่านแน่นอนค่ะ เราไม่สามารถรู้คำศัพท์ได้ทุกคำ แต่ถ้าเราลองพิจารณาจากรูปประโยค เราก็จะเข้าใจความหมายได้ไปในตัวค่ะ หรือ ถ้าเราไม่สามารถแปลได้จริงๆ ก็ใช้พจนานุกรมค่ะ แต่แนะนำว่า อย่าอ่านไปและเปิดพจนานุกรมไป จะทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายค่ะ ลองอ่านๆไปแล้วเราจะเข้าใจความหมายไปในตัวค่ะ เมื่อเราอ่านเราเจอคำศัพท์ก็จะทำให้เราจำศัพท์ได้ดีอีกวิธีหนึ่งค่ะ เช่น ตัวของผุ้เขียนชอบประเทศอังกฤษมากๆ ชอบในหลายๆอย่างรวมทั้งสำเนียงแบบบริติส และได้ดูซีรีย์เรื่อง The Worst Witch ก็รู้สึกชอบมากๆค่ะ และตัวผู้เขียนก็ได้หานิยายเรื่อง The Worst Witch มาอ่านค่ะ ด้วยความที่เป็นหนังสือจากประเทศอังกฤษ การใช้ภาษาจะเป็นแบบอังกฤษมากๆเลยและเป็นคำศัพท์ค่อนข้างจะยาก แรก ๆ ตัวผู้เขียนก็ท้อแท้ค่ะ เปิดแค่หน้าแรกก็ไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ผู้เขียนไม่ยอมแพ้ค่ะ ก็พยายามอ่านและเข้าใจค่ะ ตัวผู้เขียนอ่านไปเพียง 2 เล่ม รวม 40 chapters ก็สามารถเข้าใจในภาษาได้ดีมากขึ้นค่ะ และ ยังได้คำศัพท์ใหม่ๆอีกด้วยค่ะ4.ลองเล่นเกมที่เกี่ยวกับคำศัพท์ค่ะ จะเล่นในมือถือก็ได้ค่ะ หรือ อีกวิธีนึงคือ เล่นกับเพื่อนค่ะ จะได้ทั้งความรู้และความสนุกด้วยค่ะ 5.ใช้วิธีจำศัพท์เป็นเพลงหรือกลอนค่ะTrick: ชาวต่างชาติเขาไม่สนใจว่าเราจะสำเนียงอย่างไร เขาสนใจแค่ว่าเราต้องการจะสื่ออะไร ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องสำเนียงค่ะ # ความสำเร็จมีอยู่ทุกที แต่บางครั้งอาจจะช้า แต่ขออย่าให้เรา เลิกพยายาม ในวันใดที่เราพยายามทำเต็มที่แล้วแต่ยังไม่สำเร็จก็อย่าพึ่งท้อแท้ให้มองว่า เราได้จะแพ้เสมอไป เราแค่ยังพยายามไม่พอ #การที่คน ๆ หนึ่งจะมาถึงในจุด ๆ หนึ่งได้ เขาไม่ได้ฝึกแค่1-2วัน เขาต้องฝึก ต้องผ่านอุปสรรคมากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ของเขา ในครั้งแรกก็มี ผิดหวัง ล้มเหลว บ้างเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงใจอย่าท้อ และไปให้ถึงในจุดที่หวังนะคะภาพหน้าปก : pixabay / PIC1: pixabay Daria Głodowska จาก Pixabay"> / Pic 2: pixabay / Pic3 : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน/ ภาพพื้นหลังรูปที่4:Pixabay/Pic 5 :ภาพถ่ายโดยผู้เขียน