กลุ่มอิเล็กรับออเดอร์อีวี ชู DELTA-KCE-HANA
ทันหุ้น – DELTA-KCE-HANA-SVI โดดรับอานิสงส์รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจน หลังรัฐสนับสนุนมากขึ้น รวมถึงยังมีปัจจัยบวกล่าสุดที่เทสลา ได้รับออเดอร์รถ EV ล็อตใหญ่ 1 แสนคัน จากเฮิร์ซ คาดจัดส่งภายในปี 2565 หนุนความต้องการชิ้นส่วน เพิ่มขึ้น ด้านผู้บริหาร DELTA เชื่อรับเต็มธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า เผยปัจจุบันได้ส่งสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าไปยังแบรนด์ดังๆ ทั่วโลก
นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เปิดเผยว่า บริษัทได้รับผลดีแน่นอน จากการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะบริษัทก็มีการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสินค้าดังกล่าวไปยังแบรนด์ดังๆ ระดับโลกอยู่หลายแห่ง โดยเชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจด้านรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ดี
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/2564 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,134ล้านบาท ทำให้อัตรากำไรจากการดำ เนินงานลดลงจาก 15.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเป็น 5.3% จากต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการตั้งสำรองเผื่อผลขาดทุนจากน้ำท่วมจำนวน 393 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,196 ล้านบาท ทำให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 14.9% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็น 5.6%
ขณะที่ยอดขายสินค้าและบริการอยู่ที่ 21,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนเนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Cloud Storage และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center พร้อมกับการเติบโตที่โดดเด่นของกลุ่มโซลูชั่น สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions) ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
*กลุ่มอิเล็กกลับสู่ภาวะปกติ
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขณะนี้กลับมาสู่ภาวะปกติ โดยคาดว่าผลดำเนินงานในไตรมาส 3/2564 ดีขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจของโลกกลับมาฟื้นตัว รวมทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทก็ยังอ่อนค่าอยู่
ส่วนกรณีที่เทสลา ได้รับคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 1 แสนคันจากบริษัท Hertz Global Holding มองว่าน่าจะส่งผลดีทางอ้อม เพราะทำให้ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น สำหรับกรณีการขาดแคลนชิป ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทที่ผลิตได้มีการเพิ่มกำลังการผลิต ดังนั้นจึงทำให้สถานการณ์ดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่คลี่คลายทั้งหมด โดยปัจจุบันนี้ฝ่ายวิจัยเอเซีย เวลท์ แนะนำหุ้นเด่นในกลุ่มได้แก่หุ้นบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และหุ้นบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA
*KCE-HANA ผลงานเด่น
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ OVERWEIGHT เพราะมองว่าเป็นหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรที่สูง แม้ราคาวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นจากความต้องการชิปทั่วโลกที่มีจำนวนมาก แต่ผู้บริหารของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ไทยเชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไตรมาส 4/2564 เนื่องจากกำลังการผลิตชิปที่เพิ่มขึ้น จากสถานการณ์นี้คาดว่า HANA,SVI และ DELTA จะได้รับประโยชน์โดยตรงในแง่ของความเสี่ยงต้นทุนวัตถุดิบ เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล่านี้ ในขณะเดียวกันมองว่า KCE จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เพียงรายเดียวในปัญหาขาดแคลนชิปนี้ ดังนั้น
โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ฝ่ายวิจัยดูแล (Coverage) ในไตรมาส 3/2564จะมีกำไรรวมที่ 3.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาส 2/2563 แต่ลดลง 5%จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยคาดว่าจะมี 2บริษัทที่มีกำไรเติบโตเด่น ได้แก่ KCE จะมีกำไรที่ 666 ล้านบาท เติบโต 175% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ HANA ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 749 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134% แต่กำไรของกลุ่มจะได้รับแรงกดดันจาก DELTA และ SVI ที่ลดลง เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ส่วนยอดขายในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะอยู่ที่ 3.55 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%จากช่วงเดียวกันปีก่อน มองว่ายอดคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่ง การเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า และเทรนด์เทคโนโลยี 5G รวมถึงได้รับผลดีจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า
*ยอดคำสั่งซื้อแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ได้เลือกหุ้น KCE เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม โดยแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 100บาทต่อหุ้น เพราะเชื่อว่าการเติบโตของกำไรในปี 2565จะได้แรงหนุนจากยอดคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ และกำลังการผลิตใหม่ ขณะเดียวกันได้ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อหุ้น HANA โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 87 บาทต่อหุ้น เพราะคาดว่าจะเห็นแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งในอนาคตจากยอดคำสั่งซื้อในผลิตภัณฑ์ซิลิกอนคาร์ไบด์ ซึ่งสามารถใช้ในธุรกิจการบริหารจัดการพลังงานใหม่ในปี 2565
ส่วน SVI แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.45 บาทต่อหุ้น เพราะผลิตภัณฑ์ของบริษัท เกี่ยวข้องกับเทรนด์ 5G IOTs และ AI อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำขายหุ้น DELTA ให้ราคาเป้าหมายที่ 460 บาทต่อหุ้น เนื่องจากราคาหุ้นได้รับรู้เต็มมูลค่าแล้ว