ครม.เคาะกรอบเงินเฟ้อปี69 ร้อยละ 1-3

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (30 ธ.ค.) เห็นชอบเป้าหมายนโยบายการเงิน (กรอบเงินเฟ้อ) ปี 2569 โดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 ตามที่กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการหารือร่วมกัน ซึ่งเป็นกรอบเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2568

อย่างไรก็ตาม ครม.ได้มอบหมายให้หน่วยงานเศรษฐกิจ 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ติดตามสถานการณ์ตัวเลขให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ เพราะที่ผ่านมามีช่วงที่เงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบที่กำหนดไว้

โดยหากเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมายให้ 4 หน่วยงานเศรษฐกิจหารือกันเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพราะหากเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมได้

ขณะที่ ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. แถลงเดือนพฤศจิกายน 2568 ขยายตัวจากเดือนก่อนตามอุปสงค์ต่างประเทศ โดยการส่งออกสินค้าและรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้น ส่วนอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้นจากการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ 

ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนปรับลดลง แต่คาดว่าจะปรับดีขึ้นในเดือนธันวาคม จากมาตรการคนละครึ่ง พลัส และการใช้จ่ายช่วงเทศกาลสิ้นปี  ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อย (-0.49%)ลงจากเดือนก่อน และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวกใกล้เคียงกับเดือนก่อน (0.66%) 

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยระยะต่อไปยังมีแรงส่งมาจากกิจกรรมในภาคบริการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการบริโภคภาคเอกชนที่ยังมีปัจจัยบวกจาก มาตรการภาครัฐ  ดังนั้นภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2568 น่าจะเติบโตได้ตามที่ธปท.ประมาณการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.2 

แต่ระยะต่อไปต้องติดตาม 1) การฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม 2) ผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า 3) การฟื้นตัวของธุรกิจหลังเหตุการณ์น้ำท่วม 4) ผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และ 5) ผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ