ว่าด้วยเรื่องของการช่างมัน ชื่อหนังสือที่รู้จักกันทั่วโลกคือ The Subtle Art of giving a f*ck โดย Mark Manson คนที่เคยมีความประพฤติแบบสุดขั้ว และเจอเรื่องเลวร้ายอย่างการที่พ่อแม่หย่าร้างกะทันหัน รวมถึงถูกจับได้ว่าเคยเอากัญชามาขายกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน ด้วยบุคลิกภาพของเขา เขาเห็นถึงธรรมชาติของมนุษย์ โดยให้มองโลกในอีกมุมหนึ่ง เพื่ออ่านชีวิตคนเราให้แตกฉานมากกว่าที่เคย ผลงานเล่มนี้จึงขายดีติดอันดับ New york times bestseller มาแล้ว ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์ 1.เคยลองสังเกตไหมว่าเวลาที่คุณแคร์อะไรบางอย่างน้อยลง คุณกลับทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้น คุณคงเคยเห็นว่าบ่อยครั้งที่คนที่ไม่ได้ใส่ใจกับความสำเร็จ มักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ คงจำได้ว่าหลายครั้งที่คุณโพล่งออกมาว่าช่างแม่ง ทุกๆ อย่างก็ดูเหมือนจะเข้ารูปเข้ารอยด้วยตัวมันเองแล้วมันหมายความว่าอะไรกันล่ะ? สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับกฎแห่งการย้อนกลับก็คือ “การช่างมันให้ผลลัพธ์ในทางกลับด้วยเช่นกัน" ถ้าการตามหาความคิดบวกคือความคิดลบการตามหาความคิดลบก็จะสร้างพลังด้านบวกด้วยเช่นกัน 2.ความหมกมุ่นและการเชื่อในอารมณ์มากเกินไปทำให้เราต้องผิดหวังด้วยเหตุผลง่ายๆ นั่นคือ อารมณ์เป็นสิ่งไม่แน่นอน สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในวันนี้ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขในวันพรุ่งนี้ นั่นก็เพราะธรรมชาติของเราถูกกำหนดมาให้ต้องการมากขึ้นตลอดเวลา การยึดติดกับความสุขจึงย่อมหมายถึงการตามหา “สิ่งที่มากขึ้น” อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลังใหม่ แฟนคนใหม่ ลูกคนใหม่ หรือการได้ขึ้นเงินเดือน แต่ไม่ว่าเราจะเสียแรงกายแรงใจไปมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วเราก็ยังคงรู้สึกเหมือนกับ ตอนเริ่มแรกไม่มีผิดเพี้ยน คือการที่รู้สึกว่ามันยังไม่พอ 3.สาเหตุที่ปัญหาของเราเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหลีกเลี่ยง ไม่ได้ คนที่คุณแต่งงานด้วยคือคนที่คุณทะเลาะด้วย บ้านที่คุณซื้อคือบ้านที่คุณต้องซ่อม งานในฝันของคุณคืองานที่ทำให้คุณเครียด ทุกอย่างย่อมมาพร้อมกับข้อเสีย สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีย่อมมาพร้อมกับสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ สิ่งที่เราได้มาคือสิ่งที่เราเสียไป สิ่งที่สร้างความคิดเชิงบวกของเราคือสิ่งที่กำหนดความคิดเชิงลบของเรา 4.หลายคนอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่คุณจะไม่มีวันเป็นเจ้าของ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่ยอมรับความเสี่ยง ความไม่แน่นอน การล้มเหลวซ้ำๆ หรือการทำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายอะไรสักอย่างที่อาจจะไม่ได้เงินคืนกลับมาแม้แต่บาทเดียว หลายคนอยากมีคู่ครอง แต่คุณจะไม่มีวันดึงดูดคนดีๆ เข้ามาได้ ถ้าไม่ยอมรับความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ความต้องการทางเพศที่ไม่ได้ปล่อยออกมาสักที และสายตาที่เลื่อนลอย จากการรอสายโทรศัพท์ที่ไม่เคยดัง ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของเกมความรัก ถ้าคุณไม่เริ่มเล่น คุณก็ไม่มีวันชนะ คําถามที่จะกำหนดความสำเร็จของคุณไม่ใช่ “คุณต้องการสนุก กับอะไร?” แต่เป็น “คุณอยากทนกับความเจ็บปวดแบบไหน?” เส้นทางสู่ ความสุขคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความอับอาย 5.ถ้าเราบังคับตัวเองให้คิดบวกตลอดเวลา แสดงว่าเรากําลังปฏิเสธการมีอยู่ของปัญหาในชีวิต และถ้าเรากําลังปฏิเสธปัญหาของเรา นั่นก็แสดงว่าเรากำลังปฏิเสธโอกาสในการแก้ปัญหานั้นและโอกาสในการสร้างความสุขให้กับตัวเราเอง ปัญหาคือสิ่งที่เพิ่มความหมายและความสําคัญให้กับชีวิตของเรา ดังนั้น การหลีกหนีปัญหาจึงนําไปสู่ชีวิตที่ไร้ความหมาย (ถึงแม้คุณจะรู้สึกดีชั่วคราวก็ตาม) 6.ค่านิยมที่ดีจะต้อง 1) อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง 2) เป็นที่ยอมรับของ สังคม และ 3) ส่งผลโดยตรงและควบคุมได้ ค่านิยมที่เลวคือ 1) อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ 2) สังคมรังเกียจ และ 3) ไม่ส่งผลโดยตรงหรือควบคุมไม่ได้ ความจริงใจเป็นค่านิยมที่ดี เพราะเป็นสิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้ทั้งหมด รวมทั้งยังสะท้อนถึงความเป็นจริงและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น 7.ตัวอย่างของค่านิยมที่ดีและมีประโยชน์ ได้แก่ ความจริงใจ ความคิดริเริ่ม ความละเอียดอ่อน การยืนหยัดเพื่อตัวเอง การยืนหยัดเพื่อผู้อื่น ความเคารพในตัวเอง ความอยากรู้ จิตกุศล ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความคิดสร้างสรรค์ ตัวอย่างของค่านิยมที่เลวและส่งผลเสีย ได้แก่ การข่มขู่ด้วยการปั่นหัวหรือใช้กำลัง การมีเซ็กส์แบบไม่เลือกหน้า การรู้สึกดีตลอดเวลา การต้องการเป็นจุดสนใจอยู่ตลอดเวลา การไม่อยากอยู่คนเดียว การต้องการคำชื่นชมจากทุกคน การอยากรวยเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคนรวย การสังเวยสัตว์ตัวเล็กๆ ตาดำๆ ให้แก่เทพเจ้า เป็นต้น 8.คุณจะสังเกตเห็นได้ว่าค่านิยมที่ดีต่อชีวิตนั้นมาจากภายใน เช่น ความคิดสร้างสรรค์หรือความอ่อนน้อมถ่อมตน มันเป็นสิ่งที่คุณสัมผัสได้ทันที แค่ต้องปรับจิตใจให้พร้อมสัมผัสมันเท่านั้น ค่านิยมเหล่านี้ส่งผลทันทีและสามารถควบคุมได้ มันจะช่วยให้คุณมองโลกในแบบที่เป็น ไม่ใช่ในแบบที่คุณหวังให้เป็น 9.ค่านิยมที่เลวมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น การได้นั่งเครื่องบินส่วนตัว การที่คนอื่นบอกว่าคุณถูกเสมอ การมีบ้านตากอากาศสุดหรูบนเกาะหรือการนั่งกินเหล้าแพงๆ พร้อมกับกอดสาวนั่งดริงค์สามคนพร้อมกัน ค่านิยมที่เลวถึงแม้จะให้ความสนุกและความยินดีในบางครั้ง แต่ก็ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณ และมักจะส่งผลเสียต่อตัวคุณเอง 10.ค่านิยมที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความรับผิดชอบในแบบสุดโต่ง นั่นคือ การรับผิดชอบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใครก็ตาม ค่านิยมที่สองคือ ความไม่แน่นอน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการยอมรับในความไม่รู้ของตัวคุณเอง และการปลูกจิตสำนึกให้ตั้งคำถามกับความเชื่อของคุณเองตลอดเวลา ค่านิยมต่อมาคือ ความล้มเหลว ซึ่งก็คือความเต็มใจที่จะค้นหาข้อบกพร่องและความผิดพลาดของตัวคุณเอง เพื่อที่จะนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น ค่านิยมที่สี่คือ การปฏิเสธ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการพูดและฟังคำว่า “ไม่” เพื่อให้คุณสามารถกำหนดสิ่งที่จะยอมรับและสิ่งที่ไม่ต้องการยอมรับในชีวิตของคุณได้อย่างชัดเจน ค่านิยมสุดท้ายคือ การใคร่ครวญถึงความตายของตัวเอง เพราะการทำความเข้าใจกับความตายของตัวเองนั้น อาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เรารักษามุมมองที่มีต่อค่านิยมอื่นๆเอาไว้ได้อย่างถูกต้อง 11.ความจริงที่เรียบง่ายเพียงอย่างเดียวที่เป็นสาเหตุให้คนเราพัฒนาตัวเองและเติบโตขึ้นก็คือ เราทุกคนย่อมต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งในชีวิตของเรา ไม่ว่าปัจจัยภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ตาม เราอาจจะควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้เสมอไป แต่เราเลือกได้ว่าจะคิดและตอบสนองอย่างไร ไม่ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม 12.สิ่งที่เราพบเจอในชีวิตล้วนเป็นผลจากการกระทำของตัวเราเอง ถ้าคุณเจอปัญหาแล้วหนีจากมัน นั่นก็เป็นสิ่งที่คุณเลือก ถ้าคุณเจอปัญหาแล้วไม่ยอมทำอะไร ก็เท่ากับว่าคุณได้เลือกไปแล้วเหมือนกัน เรากำลังเลือกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เรากำลังเลือกอยู่ตลอดเวลา 13.เสน่ห์ของโป๊กเกอร์ก็คือ คุณต้องมีดวงก็จริง แต่ดวงไม่ใช่สิ่งที่กำหนดผลแพ้ชนะในระยะยาว คุณอาจจะได้ไพ่ไม่ดี แต่ก็ยังสามารถเอาชนะคนที่มีไพ่สวยๆ ในมือได้ แน่นอนว่าคนที่ได้ไพ่เหนือกว่าย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า แต่สุดท้ายแล้ว ชัยชนะในแต่ละเกมนั้นขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้เล่นแต่ละคนเลือกตลอดทั้งเกม 14. เราทุกคนรับไพ่มา คนหนึ่งอาจจะได้ไพ่ดีกว่าอีกคนหนึ่ง การโทษไพ่แย่ๆ และการคิดว่าตัวเองซวยนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่เกมที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การเลือกว่าเราจะทำอย่างไรกับไพ่ที่ได้มา ความเสี่ยงที่เราตัดสินใจยอมรับ และผลลัพธ์ที่เราเลือกที่จะอยู่กับมัน คนที่ตัดสินใจเลือกได้ดีที่สุดอย่างสม่ำเสมอในทุกสถานการณ์คือคนที่จะเป็นผู้ชนะในเกมโป๊กเกอร์ ในชีวิตเองก็ไม่ต่างกัน ผู้ชนะไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่ถือไพ่ดีที่สุดเสมอไป บางคนต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งทางจิตใจและอารมณ์จากความบกพร่องของระบบประสาทและกรรมพันธุ์ แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แน่นอนว่าพวกเขาถือไพ่ไม่ดีอยู่ในมือ ซึ่งเราไม่สามารถโทษเขาได้ เช่นเดียวกับผู้ชายตัวเตี้ยคนนั้นที่หาคู่เดทไม่ได้เสียที ซึ่งเราไม่สามารถจะไปโทษเขาว่าเกิดมาเตี้ยได้ หรือคนที่ถูกปล้น ซึ่งเราไม่สามารถไปโทษเขาได้เช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาอยู่ดี 15.ไม่ว่าคนเหล่านี้จะเลือกเข้ารับการรักษา เลือกรับการบำบัด หรือเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย นี่คือสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องเลือกเอง โลกนี้มีคนที่ต้องทนทุกข์กับชีวิตวัยเด็กอันเลวร้าย มีคนที่ถูกกระทำ ถูกล่วงละเมิด และถูกกลั่นแกล้งทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเงิน คนเหล่านี้ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาและอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังคงต้องเป็นผู้รับผิดชอบเสมอในการที่จะก้าวข้ามปัญหาเหล่านี้ และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในแต่ละสถานการณ์ 16.การพัฒนาอะไรบางอย่างเกิดจากความล้มเหลวย่อยๆนับพันๆครั้ง เช่นเดียวกัน ความยิ่งใหญ่ในความสำเร็จของคุณขึ้นอยู่กับว่าคุณล้มเหลวมาแล้วกี่ครั้ง ถ้ามีใครเก่งกว่าคุณในเรื่องไหนสักเรื่อง ก็เป็นไปได้ มากว่าเพราะคนคนนั้นเคยล้มเหลวมามากกว่าคุณ ถ้ามีใครเก่งไม่เท่าคุณก็น่าจะเพราะคนคนนั้นยังไม่เคยผ่านประสบการณ์การเรียนรู้อันเจ็บปวดเหมือนกับที่คุณเคยผ่านมาแล้ว 17.คนที่คิดว่าตัวเองพิเศษบางคนมักโทษคนอื่นเวลาเกิดปัญหา คน เหล่านี้เชื่อว่าถ้าสร้างภาพให้ตัวเองเป็นผู้รับเคราะห์อยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็จะมีใครบางคนเข้ามาช่วยเหลือ และพวกเขาก็จะได้รับความรักอย่างที่ตัวเองปรารถนามาตลอด ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองพิเศษอีกแบบก็จะพยายามเอาใจคนอื่นไปเสียทุกอย่าง เพราะคนเหล่านี้เชื่อว่าถ้า “แก้ไข” ปัญหาของคู่ครองและช่วย เหลือเขาหรือเธอเอาไว้ได้ พวกเขาก็จะได้รับความรักและความชื่นชมอย่างที่ตัวเองปรารถนามาตลอด ทั้งสองกรณีเป็นเหมือนกับหยินและหยางของความสัมพันธ์ที่เลวร้าย ซึ่งประกอบด้วยผู้รับเคราะห์และผู้ช่วยเหลือ คนหนึ่งจุดไฟเพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญ ในขณะที่อีกคนคอยดับไฟเพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญ หนังสือเล่มนี้ยอมรับว่าไม่ธรรมดาและพูดตรงๆแบบทำให้เจ็บลึกๆในใจได้ ถึงขนาดที่คุณสุทธิชัย หยุ่น ก็ได้หยิบมาเล่าให้ฟังใน Live เมื่อวันที่ 14 พ.ย 2568 มาแล้ว มันไม่ใช่จิตวิทยาตามแบบแผนทั่วไป มันเป็นมุมมองของ Mark Manson ที่นำเสนอได้เจ็บแสบสุดๆ โชคดีที่ผู้แปล ยอดเถา ยอดยิ่ง สามารถนำเสนอโดยรักษาอารมณ์จากเจ้าของภาษาได้ ทำให้อ่านได้ลื่นไหลราวกับ Mark มานำเสนอด้วยตัวเองเลย ประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การช่างมันต่อปัญหาเฉยๆอย่างที่เราอาจเข้าใจผิดเมื่อได้เห็นจากหน้าปก แต่เราควรรู้จักช่างมันอย่างถูกต้อง ทั้งค่านิยมผิดๆ ความเชื่อที่ตอกย้ำผิดๆ เราก็ควรช่างมันด้วย อย่าให้ค่ากับมัน มันทำให้เราเดินทางผิดและไม่ประสบความสำเร็จ เครดิตภาพ ภาพปก โดย Fabian Wiktor จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 และ 4 โดย AI บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ ไต่ระดับลับสมอง ด้วยคำถามเชิงตรรกะ รีวิวหนังสือ MOVE HEAVEN AND EARTH รีวิวหนังสือ สอนลูกให้ชนะ (โดยที่พ่อแม่ต้องแพ้เป็น) The Rules of Parenting เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !