เมื่อระลอกคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงได้โหมกระหน่ำเข้าปกคลุมในทุกอิริยาบถของการเคลื่อนไหว หลายครั้งหลายคราวที่เรามักจะลืมตั้งคำถามต่อสิ่งที่กำลังเป็นไปโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอย่างบ้าคลั่งและไร้ทิศทาง แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับหลาย ๆ ประเทศในเวทีโลก แต่ทว่านิยามการเปลี่ยนแปลงของโลกในห้วงเวลานี้เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงทัศนคติที่อ่อนไหวและค่านิยมที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมาเพื่อรับมือกับความศิวิไลซ์ของโลกยุค Digital ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านช่วงวัยของกลุ่มประชากรในยุค Generation เก่า สู่ Generation ใหม่ อีกทั้งความไม่น่าไว้วางใจของประเทศมหาอำนาจที่กำลังถูกท้าทายและสั่นคลอนด้วยความไม่แน่นอนเชิงสัญลักษณ์ผ่านการก่อการร้ายและกลิ่นชนวนของภัยสงครามซึ่งล้วนเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาและน่าอภิรมย์ของประชาคมโลก อุปกรณ์พื้นฐานในโลกยุค Digital ที่มาของภาพ https://pixabay.com/photos/computer-laptop-work-place-mouse-2982270/ เมื่อเร็ว ๆ นี้ หากหลายท่านได้ติดตามข่าวการจัดอันดับผลการดำเนินงานด้านนวัตกรรมของ 141 ประเทศทั่วโลก หรือ Global Innovation Index 2019 จะพบว่า ประเทศเวียดนามได้ถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับ 3 ในอาเซียนรองจากประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ในขณะที่ประเทศไทยของเราอยู่ในดับที่ 4 ซึ่ง Global Innovation Index จัดทำโดย World Intellectual Property Organization ร่วมกับมหาวิทยาลัยคอร์แนล ประเทศสหรัฐอเมริกา และสถาบัน INSEAD เพื่อจัดอันดับ ซึ่งจากรายงานผลการจัดอันดับดังกล่าวพบว่าประเทศเวียดนามได้ปรับปรุง Business Environment หรือสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยมิติที่เวียดนามทำได้ดีมากนั้นคือการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปสู่การใช้งานจริง ที่น่าสนใจยิ่งไม่ใช่แค่เพียงที่เวียดนามได้แซงไทยไปแล้วในเรื่องการจัดอันดับในครั้งนี้ แต่คือการที่ประเทศไทยของเราแม้จะมีคะแนนในการสร้างสรรค์องค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่อยู่ในระดับที่ดี แต่ไทยเรากลับไม่สามารถนำสิ่งเหล่านั้นสู่การปฏิบัติหรือต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากนี้ไทยยังมีสัดส่วนการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างชาติมากกว่าเวียดนามเมื่อเทียบกับสัดส่วน GDP ของประเทศ นครโฮจิมินห์ เมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม ภาพถ่ายโดยผู้เขียน จากรายงานฉบับดังกล่าว เป็นที่น่ากังวลยิ่งว่าหากเราไม่ตั้งคำถามหรือส่องกระจกดูตัวเองว่าเรามัวแต่ลุ่มหลงทำสิ่งใดกันอยู่ หรือกำลังทุ่มเททำแต่เรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์อยู่หรือไม่ ไฉนการจัดอันดับประเทศในหลาย ๆ เวทีโลก ยิ่งเราทุ่มเทพัฒนาที่จะเปลี่ยนแปลงเพียงใด ผลการจัดอันดับก็ยิ่งไม่เขยื้อนเลยแม้แต่น้อยตรงกันข้ามกลับมีทิศทางที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับหลายประเทศในอาเซียน ดังนั้นการตั้งคำถามหรือการส่องกระจกดูตัวเอง ยอมรับ และแก้ไขเปลี่ยนแปลงมันจึงเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนในสังคมปัจจุบัน ดังเช่นเมื่อหลายปีก่อนหากใครยังจำได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เล่านิทานให้แก่คณะรัฐมนตรีฟังในคราวการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ โดยนิทานเรื่องดังกล่าวมีชื่อว่า “มดน้อยสอนใจ” เป็นนิทานที่ประกอบไปด้วยตัวละครคือ มด สิงโต แมลงสาบ ควาย เห็บ ทาก และตัวเงินตัวทอง ซึ่งเนื้อหาสาระเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะสังคมในการทำงานลุกขึ้นมาทบทวนและส่องกระจกดูตัวเองว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ มีความเหมาะสมหรือเกิดประโยชน์หรือไม่ความน่าสนใจจึงอยู่ที่การตั้งข้อคำถามของนายกรัฐมนตรีหลังจากเล่านิทานเรื่องดังกล่าวจบลง ที่มาของภาพ https://pixabay.com/photos/ants-close-up-insects-little-tiny-1868024/ เรื่องมีอยู่ว่า “... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ทุกวันๆ “มดน้อย” จะมาทำงานแต่เช้า โดยลงมือทำงานทันที ซึ่งมดน้อยสามารถสร้างผลงานไว้มากมาย และมีความสุขอย่างยิ่งกับการทำงาน "สิงโต" รู้สึกแปลกใจที่ "มดน้อย" ทำงานได้ดีโดยไม่ต้องมีใครมาควบคุม "สิงโต" จึงคิดใหม่ทำใหม่ว่า ขนาดไม่มีหัวหน้าดูแล "มดน้อย" ยังทำงานได้ดีเช่นนี้ หากมีหัวหน้ามาดูแล "มดน้อย" ก็ต้องทำงานได้ดีโดยไม่ต้องสงสัย "สิงโต" จึงไปจ้าง "แมลงสาบ" มาเป็นหัวหน้า "มดน้อย" ซึ่งแมลงสาบมีความสามารถในการเขียนรายงานได้ดี โดยเริ่มต้นด้วยการตั้งเครื่องตอกบัตร แต่ "แมลงสาบ" ต้องการเลขานุการเข้ามาช่วยพิมพ์รายงาน ชงกาแฟ เดินเอกสาร ส่งจดหมาย และคอยจับผิด "มดน้อย" จึงไปจ้าง "ควาย" มาเป็นเลขานุการส่วนตัว "สิงโต" ก็ปลื้มกับการทำงานของ "แมลงสาบ" มาก ที่รายงานการทำงานต่างๆ ให้เห็นความคืบหน้า ซึ่งต่อมา "แมลงสาบ" ขอซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ ขอติดตั้งอินเทอร์เน็ต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งทำให้ต้องมีแผนกไอทีตามมา โดยได้จ้าง "เห็บ" มาเป็นผู้จัดการ ซึ่ง "เห็บ" ก็ของบประมาณเพื่อจ้างทีมงานและจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ ขณะที่ "มดน้อย" เริ่มเบื่อกับระบบงานใหม่ เพราะต้องเสียเวลากับการเขียนรายงาน และการประชุมที่เสียเวลามาก "แมลงสาบ" เห็น "มดน้อย" ทำงานช้าลงจึงให้ "ทาก" เข้ามาเป็นหัวหน้าแผนกคอยดูแลและจดรายงาน เนื่องจากเป็นบุคลากรที่ทำงานล่าช้าจึงดูเหมือนรอบคอบ บรรยากาศในแผนกที่ "มดน้อย" อยู่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ไร้เสียงหัวเราะ ทุกคนอารมณ์เสียง่าย "ทาก" จึงของบประมาณเพื่อศึกษาสภาวะการทำงานที่เหมาะสมของแผนกว่าทำไมประสิทธิภาพในการทำงานจึงแย่ลง "สิงโต" เห็นด้วยจึงได้จ้าง "ตัวเงินตัวทอง" เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งได้ข้อสรุปว่าปัญหามาจากการจ้างคนเข้ามาเยอะเกินไปทำให้คุณภาพงานไม่ดี และท้ายที่สุดแล้ว "มดน้อย" ก็ถูกปลดออก เพราะ "ตัวเงินตัวทอง" บอกว่า "มดน้อย" ขาดแรงจูงใจและมีทัศนคติที่ไม่ดี ...” ที่มาของภาพ https://pixabay.com/photos/russia-office-men-women-working-95311/ ทันทีที่นิทานดังกล่าวจบลงนายกรัฐมนตรีได้ทิ้งข้อคำถามให้แก่คณะรัฐมนตรี ซึ่งควรค่าแก่การนำไปขบคิด โดยให้กลับไปคิดพิจารณาทบทวนดูว่า "เราเป็นใครในนิทานเรื่องนี้" พิจารณาว่าการทำงานในเวลานี้เรายังคงทำกันแบบเดิม ๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมาหรือไม่ ข้อผิดพลาดหรือต้นตอของปัญหาคืออะไร เรามองไม่เห็นหรือกำลังหลอกตัวเองว่าหาไม่เจอ การแก้ไขปัญหาของเราได้เพิ่มเติมผู้คนมากมายให้เข้ามามีบทบาทจนกลายเป็นภาระทำให้ประสิทธิภาพตกต่ำลงหรือไม่ การบริหารงานหรือขับเคลื่อนภารกิจกำลังถูกเบียดบังหรืออยู่ภายใต้การนำของผู้ที่ไร้ความรู้ความสามารถและปราศจากวิสัยทัศน์อยู่หรือไม่ หน่วยงานหรือภารกิจบางอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือเป็นภาระขัดขวางการเจริญเติบโตกันแน่ ข้อคำถามเหล่านี้จึงเสมือนเป็นกระจกบานใหญ่ที่เราอาจทำมันหล่นหายไประหว่างการเดินทางไปยังเป้าหมายอันสูงสุด การที่เราต้องก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าอย่างมั่นคงบนความอ่อนไหวในหลายมิติ ยิ่งเป็นการตอกย้ำและเร่งให้เราต้องลุกขึ้นมาพิจารณาและสำรวจ “ความเป็นไปในความเป็นเรา” ให้มากยิ่งขึ้น เรื่องโดยผู้เขียน ที่มาของภาพหน้าปก https://pixabay.com/photos/ant-wood-ant-insect-hymenoptera-4155225/