Drakengard ภาคแรก อาจจะไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยความมืดหม่น ฉากจบอันหลากหลายและชวนช็อค รวมถึงบรรยากาศของเกมที่ไม่เหมือนใคร ทำให้มันกลายเป็นเกมที่น่าจดจำในใจใครหลายคน ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมยังจำความรู้สึกตื่นเต้นตอนเล่นครั้งแรกได้ดี จำได้ว่าเฝ้ารอภาคต่อที่จะมาสานต่อตำนานอันบิดเบี้ยวนี้ แต่เมื่อ Drakengard 2 ออกวางจำหน่ายในปี 2005 ความรู้สึกตื่นเต้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง แม้เกมจะไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น กราฟิกและการนำเสนอ: ธรรมดาเกินไปในยุคสมัยนั้น ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งที่ทำให้ผมผิดหวังที่สุดอย่างหนึ่งใน Drakengard 2 ก็คงจะเป็นเรื่องกราฟิกนี่แหละ ในยุคที่เกมอย่าง God of War หรือ Shadow of the Colossus กำลังโชว์ศักยภาพของ PlayStation 2 อย่างเต็มที่ Drakengard 2 กลับนำเสนอกราฟิกที่ดูธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น เทกเจอร์ของฉากต่างๆ ดูหยาบและไม่มีรายละเอียด แสงเงาในเกมก็ไม่ได้สวยงามอะไร โมเดลตัวละครก็ดูแข็งๆ ทื่อๆ แถมอนิเมชั่นก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติอีก ผมจำได้ว่าตอนเล่นฉากเปิดเกมครั้งแรก รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะหวังว่าภาคนี้จะยกระดับกราฟิกให้สวยงามสมจริงกว่าภาคแรก แต่มันกลับดูเหมือนเกมยุค PS2 ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเท่าไหร่นัก ยกตัวอย่างเช่น ฉากในเมือง แทนที่จะมีผู้คนเดินไปมาพลุกพล่าน สร้างบรรยากาศให้ดูมีชีวิตชีวา กลับมีแค่ NPC ไม่กี่ตัวที่ยืนนิ่งๆ เหมือนหุ่น ส่วนฉากป่า ที่ควรจะเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ก็ดูโล่งๆ มีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆ กัน ทำให้ฉากโดยรวมดูไม่สมจริง เพลงประกอบ: ยังพอไหวอยู่บ้าง ในส่วนของเพลงประกอบนั้น ผมว่า Drakengard 2 ทำได้ดีกว่าในด้านกราฟิก เพลงประกอบในเกมมีทั้งความยิ่งใหญ่ ดุดัน และโศกเศร้า เข้ากับบรรยากาศของเกมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเพลงตอนขี่มังกรต่อสู้กลางเวหา มันให้ความรู้สึกฮึกเหิม อยากจะบินไปถล่มศัตรูให้ราบเป็นหน้ากลอง เหมือนกับกำลังบัญชาการกองทัพมังกรอยู่จริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เพลงประกอบโดยรวมก็ไม่ได้ติดหูหรือโดดเด่นอะไรมากมาย ถ้าเทียบกับเกม RPG ระดับตำนานอย่าง Final Fantasy ผมว่าเพลงของ Drakengard 2 ยังขาดเอกลักษณ์และความน่าจดจำ เกมเพลย์: ง่ายเกินไปจนน่าเบื่อ สิ่งที่ผมผิดหวังที่สุดใน Drakengard 2 คงจะเป็นเกมเพลย์นี่แหละ ภาคนี้ระบบการต่อสู้ถูกปรับให้เล่นง่ายขึ้นกว่าภาคแรกมาก ศัตรูก็ไม่ได้ฉลาดอะไร แค่กดปุ่มโจมตีรัวๆ ก็ผ่านได้สบายๆ แม้กระทั่งบอสบางตัวยังง่ายจนน่าตกใจ ผมแทบจะไม่ได้ใช้เวทมนตร์หรือท่าไม้ตายอะไรเลย แค่ฟันๆๆๆ ก็จบ มันเลยทำให้เกมเพลย์โดยรวมค่อนข้างน่าเบื่อ ไม่มีความท้าทาย เล่นไปได้สักพักก็เริ่มรู้สึกจำเจ ไม่มีแรงจูงใจให้เล่นต่อ ระบบการขี่มังกรก็ไม่ได้สนุกอย่างที่คิด มังกรในภาคนี้บินได้อย่างเดียว ไม่สามารถโจมตีภาคพื้นดินได้ แถมการควบคุมก็ค่อนข้างยาก มังกรชอบบินไปชนนู่นชนนี่ตลอด ทำให้เสียจังหวะการต่อสู้ ผมเลยไม่ค่อยได้ใช้มังกรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเดินเท้าไปลุยเองมากกว่า ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเล่นเกมแอคชั่นทั่วไป เนื้อเรื่อง: จืดจางและไม่น่าจดจำ อีกหนึ่งจุดเด่นของ Drakengard คือเนื้อเรื่องที่หม่นหมอง เต็มไปด้วยปริศนา และมีฉากจบที่หลากหลาย แต่ในภาค 2 กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย เนื้อเรื่องภาคนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซับซ้อน ตัวละครก็ไม่ค่อยมีมิติ ขาดเสน่ห์ ผมเล่นไปก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับตัวละครตัวไหนเลย แถมฉากจบก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกช็อคหรือจดจำอะไรมากนัก มันเหมือนกับเป็นการปิดฉากธรรมดาๆ ของเกมแอคชั่นทั่วไป ไม่เหมือนภาคแรกที่แต่ละฉากจบล้วนมีเอกลักษณ์และทำให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น สรุป: ภาคต่อที่น่าผิดหวัง โดยรวมแล้ว Drakengard 2 เป็นเกมที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง ถึงแม้จะมีข้อดีอยู่บ้าง เช่น เพลงประกอบที่เข้ากับบรรยากาศ แต่ข้อเสียก็มีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นกราฟิกที่ธรรมดา เกมเพลย์ที่ง่ายเกินไป เนื้อเรื่องที่จืดจาง ระบบการขี่มังกรที่ไม่สนุก มันทำให้เกมนี้ไม่สามารถเทียบชั้นกับภาคแรกได้เลย ถ้าคุณเป็นแฟน Drakengard ภาคแรก ผมแนะนำให้ข้ามภาคนี้ไปเลยจะดีกว่า แต่ถ้าคุณอยากลองเล่นเกมแอคชั่นฆ่าเวลา Drakengard 2 ก็พอเล่นได้ แต่ก็อย่าคาดหวังอะไรมากนัก เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !