9 แนวทางป้องกันแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ ไม่ให้ประสบปัญหาน้ำเสีย อ่านเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับ การท่องเที่ยวที่แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) รู้ไหมคะว่า สิ่งนี้คือการเดินทางและเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น รวมถึงส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติและวัฒนธรรม ซึ่งสิ่งนี้หมายถึงการเดินทางที่คำนึงถึงความยั่งยืนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการปฏิบัติจริง โดยในประเด็นนี้หลายคนอาจจะยังมองภาพไม่ออกในชีวิตประจำวันว่า จริงๆ เราสามารถทำอะไรอะไรได้บ้าง ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจะมาบอกต่อว่า คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำอะไรได้บ้าง หากต้องไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ การทำแบบไหนจะช่วยป้องกันแหล่งน้ำไม่ให้ประสบกับปัญหา จนทำให้คุณภาพน้ำในแหล่งน้ำนั้นเสื่อมลงและเน่าเสียนะคะ โดยเมื่ออ่านจบแล้วคุณผู้อ่านจะสามารถมองเห็นภาพมากขึ้นและเข้าใจว่า กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง ทำไมถึงสร้างความเสียหายให้กับแหล่งน้ำ และเราจะแก้ไขยังไงดีนะคะ และต่อไปนี้คือแนวทางค่ะ 1. ระมัดระวังการใช้น้ำมันและเชื้อเพลิง รู้ไหมคะว่า? น้ำมันและเชื้อเพลิงเป็นสารเคมีที่ร้ายกาจต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำมาก เพราะว่าเมื่อน้ำมันรั่วไหลลงไปเพียงนิดเดียว ก็สามารถสร้างชั้นฟิล์มบางๆ ปกคลุมผิวน้ำได้ ทำให้แสงแดดส่องลงไปในน้ำได้น้อยลง พืชใต้น้ำสังเคราะห์แสงไม่ได้ ออกซิเจนในน้ำก็ลดลง สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เป็นอาหารของสัตว์ใหญ่ก็ตาย แถมยังเป็นพิษโดยตรงต่อปลา กุ้ง หอย ปู และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกด้วย ลองนึกภาพดูสิคะว่าถ้าเรือนักท่องเที่ยวเป็นร้อยลำ หรือแม้แต่เครื่องยนต์ของเจ็ตสกีแค่ไม่กี่ลำมีการรั่วซึมเล็กน้อย สะสมกันไปเรื่อยๆ น้ำใสๆ ที่เราเคยเห็นก็จะกลายเป็นคราบสกปรก และอาจจะถึงขั้นเน่าเสียจนไม่น่าไปเที่ยวอีกเลยก็ได้ การที่เราช่วยกันดูแลไม่ให้น้ำมันและเชื้อเพลิงปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำ จึงเป็นการช่วยรักษาชีวิตใต้ผืนน้ำและความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวให้ยั่งยืนสำหรับทุกคนค่ะ 2. ไม่ขับขี่พาหนะทางน้ำด้วยความเร็วสูงใกล้ชายฝั่งหรือแนวปะการัง หลายคนอาจจะยังมองไม่ออกว่า การไม่ขับขี่พาหนะทางน้ำด้วยความเร็วสูงใกล้ชายฝั่งหรือแนวปะการัง ที่อาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวโดยตรงกับน้ำเสีย แต่จริงๆ แล้วการกระทำนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคุณภาพแหล่งน้ำของเราโดยอ้อมนะคะ เพราะการที่เรือแล่นด้วยความเร็วสูงจะสร้างคลื่นขนาดใหญ่ จากนั้นคลื่นน้ำจะไปซัดกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้ดินและทรายที่อยู่บริเวณนั้นฟุ้งกระจายลงสู่แหล่งน้ำ เกิดเป็นตะกอนขุ่น น้ำที่เคยใสก็กลายเป็นขุ่นมัว มองไม่เห็นใต้น้ำ ซึ่งตะกอนเหล่านี้เมื่อไปทับถมบนปะการังหรือพืชใต้น้ำ ก็จะไปบดบังแสงแดด ทำให้ปะการังไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้และในที่สุดก็ตายไป พืชใต้น้ำก็เติบโตได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้คลื่นยังสามารถทำลายโครงสร้างปะการังที่เปราะบางได้โดยตรงอีกด้วย เมื่อระบบนิเวศใต้น้ำ โดยเฉพาะปะการังซึ่งเป็นบ้านและแหล่งอาหารของสัตว์น้ำนานาชนิดถูกทำลาย ความสมดุลของธรรมชาติในแหล่งน้ำก็จะเสียไป ทำให้แหล่งน้ำอ่อนแอลง และเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาน้ำเสียหรือการเสื่อมโทรมได้ง่ายขึ้นในระยะยาวค่ะ การชะลอความเร็วของเรือจึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบ และช่วยรักษาสภาพแวดล้อมทางทะเลของเรา ให้คงความสวยงามและมีชีวิตชีวาไว้ตราบนานเท่านานค่ะ 3. ไม่ทิ้งขยะลงแหล่งน้ำเด็ดขาด การที่เราไม่ทิ้งขยะลงแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเศษอาหาร ถุงพลาสติก หรือแม้แต่ขวดน้ำ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครๆ ก็รู้ แต่จริงๆ แล้วนี่คือกำแพงด่านแรกและสำคัญที่สุด ในการป้องกันไม่ให้แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของเราประสบปัญหาน้ำเสียเลยค่ะ ลองนึกภาพดูสิคะว่าขยะทุกชิ้นที่เราทิ้งลงไป ไม่ได้หายไปไหน แต่จะสะสมอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติกที่ไปอุดตันทางเดินน้ำ หรือเศษอาหารที่เน่าเปื่อย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้น้ำเน่าเสีย เพราะเมื่อมีขยะย่อยสลายเกิดขึ้น จะเกิดกระบวนการดึงเอาออกซิเจนในน้ำไปใช้ ทำให้ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ขาดอากาศและตายไปในที่สุด น้ำก็จะเปลี่ยนสี มีกลิ่นเหม็น และสุดท้ายก็ไม่น่ามอง ไม่น่าลงเล่นอีกต่อไป นอกจากนี้ขยะพลาสติกยังเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสัตว์ทะเล ที่อาจกินเข้าไป หรือไปพันตัวจนตายได้ การที่เราทุกคนตระหนักและไม่ทิ้งขยะแม้แต่ชิ้นเดียวลงในแหล่งน้ำ จึงเป็นการช่วยรักษาความใสสะอาดของน้ำ รักษาระบบนิเวศใต้น้ำให้ยังคงสมบูรณ์ และทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของเรา ยังคงเป็นสถานที่ที่สวยงามและน่ามาเยือนไปได้อีกนานแสนนานค่ะ 4. งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น สบู่ แชมพู หรือโลชั่นต่างๆ เวลาที่เราไปท่องเที่ยวใกล้แหล่งน้ำ อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าส่งผลกระทบอะไรมากนัก แต่จริงๆ แล้วนี่คืออีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่จะช่วยรักษาน้ำในแหล่งท่องเที่ยวให้สะอาดและปราศจากมลพิษค่ะ ลองคิดดูสิคะว่าในแต่ละวันที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมาอาบน้ำหรือทำกิจกรรมใกล้แหล่งน้ำ ถ้าทุกคนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีผสมอยู่ สารเคมีเหล่านั้นก็จะไหลลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง เมื่อสะสมมากๆ เข้า สารเคมีเหล่านี้จะไปทำลายสมดุลของระบบนิเวศทางน้ำ ทำให้พืชน้ำและสัตว์น้ำเล็กๆ ที่เป็นอาหารของปลาตาย ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อสัตว์น้ำอื่นๆ และท้ายที่สุดก็ทำให้น้ำในบริเวณนั้นเสื่อมโทรม เกิดตะกอนหรือมีสภาพไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตและไม่น่าลงเล่นอีกต่อไป การที่เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือหลีกเลี่ยงการชำระล้างร่างกายด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในแหล่งน้ำโดยตรง จึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบและช่วยปกป้องบ้านของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ รวมถึงรักษาน้ำใสๆ ให้คงอยู่คู่แหล่งท่องเที่ยวของเราไปนานๆ ค่ะ 5. หลีกเลี่ยงการเก็บหรือทำลายสิ่งมีชีวิตในน้ำ การที่เราหลีกเลี่ยงการเก็บหรือทำลายสิ่งมีชีวิตในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นปะการัง หอย ปู ปลา หรือแม้แต่พืชน้ำที่ดูเหมือนไม่สำคัญ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราทุกคนจะช่วยป้องกันไม่ให้แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของเราประสบปัญหาน้ำเสียได้ในระยะยาวค่ะ ก็เพราะว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระบบนิเวศทางน้ำมี บทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของน้ำ ลองนึกภาพว่าปะการังคือบ้านของปลาเล็กปลาน้อยจำนวนมากที่คอยกินตะไคร่น้ำและทำให้น้ำใสสะอาด หรือหอยบางชนิดที่คอยกรองน้ำให้บริสุทธิ์ ถ้าเราไปเก็บทำลายหรือรบกวนพวกเขา ก็เหมือนกับการที่เรากำลังทำลายทีมงานทำความสะอาดตามธรรมชาติออกไปจากระบบ เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ลดลงหรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ ความสามารถของแหล่งน้ำในการฟื้นฟูตัวเอง และรักษาสภาพความสมดุลก็จะลดลงตามไปด้วย น้ำก็จะเริ่มขุ่นขึ้น มีตะกอนสะสมมากขึ้น และท้ายที่สุดก็อาจนำไปสู่ปัญหาน้ำเสียหรือการเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว การที่เราเคารพและไม่รบกวนสิ่งมีชีวิตในน้ำ จึงเป็นการช่วยให้ระบบนิเวศสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้น้ำคงความใสสะอาดและทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของเรา ยังคงเป็นบ้านที่สมบูรณ์สำหรับสิ่งมีชีวิตในทะเล และเป็นสถานที่ที่น่าประทับใจสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนค่ะ 6. ไม่ให้อาหารสัตว์น้ำมากเกินไป การให้อาหารสัตว์น้ำในแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ โดยเฉพาะปลา อาจเป็นกิจกรรมที่ดูน่ารักและสนุกสนาน แต่ถ้าให้มากเกินไปนี่คืออีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้แหล่งน้ำของเราประสบปัญหาน้ำเสียได้เลยค่ะ ลองคิดดูสิคะว่าเมื่อเราโยนอาหารลงไปในน้ำ ปลาอาจจะกินได้ไม่หมด หรือกินอิ่มแล้วก็ทิ้งส่วนที่เหลือไว้ อาหารที่เหลือเหล่านั้นก็จะจมลงสู่พื้นน้ำและเริ่มเน่าเปื่อย ซึ่งกระบวนการเน่าเปื่อยนี้จะดึงเอาออกซิเจนจำนวนมากไปใช้ ทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อสัตว์น้ำอื่นๆ ที่ต้องการออกซิเจนในการดำรงชีวิต นอกจากนี้การให้อาหารมากเกินไปยังอาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมธรรมชาติของสัตว์น้ำ ทำให้พึ่งพาอาหารจากมนุษย์มากเกินไป และยังก่อให้เกิดการสะสมของสารอาหารในน้ำ ซึ่งจะเร่งการเจริญเติบโตของสาหร่ายและพืชน้ำบางชนิดที่มากเกินไป จนน้ำกลายเป็นสีเขียวขุ่น หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์น้ำเขียว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาน้ำเสียที่รุนแรง การที่เรางดให้อาหารากเกินไป หรือให้แต่พอดีอย่างระมัดระวัง จึงเป็นการช่วยให้ระบบนิเวศทางน้ำรักษาสมดุลตามธรรมชาติ และคงความใสสะอาดปราศจากน้ำเสียไว้ได้ค่ะ 7. สนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หลายคนคิดว่า การสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไกลตัวจากปัญหาน้ำเสียโดยตรง แต่จริงๆ แล้วนี่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดในการรักษาอนาคตของแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของเราเลยค่ะ ลองนึกภาพดูสิคะว่าเมื่อเราเลือกที่จะท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการที่มีจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมการอนุรักษ์ เช่น การเก็บขยะชายหาด การปลูกป่าชายเลน หรือการฟื้นฟูแนวปะการัง ทุกๆ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ เพราะคือการเสริมสร้างและปกป้องระบบนิเวศ ที่คอยทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องกรองน้ำธรรมชาติให้กับแหล่งท่องเที่ยวของเราอยู่แล้ว โดยป่าชายเลนช่วยดักจับตะกอน ปะการังเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ช่วยทำให้น้ำใสสะอาด เมื่อระบบนิเวศเหล่านี้แข็งแรง ก็จะช่วยลดโอกาสที่น้ำจะเน่าเสีย และยังช่วยให้แหล่งน้ำสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหากเกิดมลพิษขึ้นมา การที่เราเลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จึงไม่ใช่แค่การไปเที่ยวเฉยๆ แต่เป็นการแสดงออกว่าเราใส่ใจ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความสวยงามของแหล่งน้ำเหล่านี้ให้คงอยู่คู่กับโลกของเราไปอีกนานเท่านานค่ะ 8. ให้ความรู้และสร้างความตระหนัก หลายคนอาจคิดว่า การให้ความรู้และการสร้างความตระหนัก ดูเหมือนเป็นเรื่องนามธรรมที่จับต้องยาก แต่จริงๆ แล้วนี่คือรากฐานที่สำคัญที่สุด ในการแก้ปัญหาน้ำเสียและรักษาสภาพแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของประเทศไทยของเราให้ยั่งยืนค่ะ ลองนึกภาพดูสิคะว่า ต่อให้เรามีกฎระเบียบที่ดีที่สุด หรือมีมาตรการป้องกันที่ทันสมัยแค่ไหน แต่ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา เช่น การทิ้งขยะชิ้นเดียว การทิ้งน้ำสบู่ลงน้ำ หรือการให้อาหารปลามากเกินไป จะส่งผลเสียต่อแหล่งน้ำอย่างไร ความพยายามทั้งหมดก็อาจจะไร้ผล เพราะเมื่อคนไม่เข้าใจถึงผลกระทบ พวกเขาก็จะไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การที่เราช่วยกันเผยแพร่ความรู้ อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ว่าทำไมการไม่ทิ้งขยะถึงสำคัญ ทำไมสารเคมีถึงเป็นอันตรายต่อปะการัง การสร้างความตระหนักนี้ จะเปลี่ยนจากข้อห้ามให้กลายเป็นความเข้าใจ และสุดท้ายเราจะได้ความร่วมมือจากใจจริง เมื่อทุกคนมีความรู้และตระหนักถึงผลกระทบแล้ว ก็จะเกิดจิตสำนึกในการดูแลรักษาแหล่งน้ำร่วมกันโดยธรรมชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน และช่วยให้แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของบ้านเรายังคงความสวยงามและปราศจากปัญหาน้ำเสียไปอีกนานแสนนานค่ะ 9. ปฏิบัติตามกฎระเบียบของแหล่งท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติตามกฎระเบียบของแหล่งท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด อาจฟังดูเป็นเรื่องจุกจิกน่าเบื่อสำหรับบางคน แต่จริงๆ แล้วสิ่งนี้คือกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้แหล่งท่องเที่ยวทางน้ำของเราไม่ประสบปัญหาน้ำเสีย และยังคงความสวยงามอยู่ได้ค่ะ ลองนึกภาพดูสิคะว่า กฎแต่ละข้อที่ทางแหล่งท่องเที่ยวออกมา ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว การกำหนดโซนที่ไม่ให้ทำกิจกรรมบางอย่าง หรือแม้แต่การห้ามให้อาหารปลา ล้วนถูกคิดมาอย่างดีแล้วว่าจำเป็นต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางน้ำ เมื่อเราทุกคนให้ความร่วมมือและทำตามอย่างเคร่งครัด ก็เท่ากับว่าเรากำลังช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งน้ำลงอย่างมหาศาล เพราะกฎเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายเกินกว่าที่ธรรมชาติจะรับไหว ช่วยลดการสะสมของขยะ ของเสีย และลดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรต่างๆ หากไม่มีกฎระเบียบหรือไม่มีใครปฏิบัติตาม แหล่งน้ำก็จะถูกรบกวนมากเกินไปจนไม่สามารถฟื้นตัวได้เอง และท้ายที่สุดก็อาจกลายเป็นแหล่งน้ำที่เน่าเสียและไม่มีใครอยากไปเยือนอีกต่อไป ดังนั้น การที่เราเป็นนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ และเคารพกฎกติกาของสถานที่ จึงเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจ และเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความยั่งยืนของแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำให้คงอยู่คู่กับเราไปตลอดค่ะ ก็จบแล้วค่ะ กับแนวทางทั้งหมดสำหรับนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว ที่สามารถป้องกันการเกิดน้ำเสียในแหล่งน้ำต่างๆ ได้นะคะ โดยการที่เราจะรู้ว่าในตอนนั้นควรทำอะไรเพื่อป้องกันปัญหาน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นจากการสังเกต และทำความเข้าใจบริบทของสถานที่นั้นๆ ค่ะ ให้ลองมองดูรอบตัวว่ามีถังขยะอยู่ตรงไหน มีป้ายบอกกฎระเบียบอะไรบ้าง และกิจกรรมที่เรากำลังจะทำ เช่น การให้อาหารปลา การใช้ผลิตภัณฑ์ชำระร่างกาย หรือการขับขี่เรือ จะส่งผลกระทบอะไรต่อสิ่งแวดล้อมบ้างไหม ซึ่งการมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผลกระทบของพฤติกรรมต่างๆ ที่มีต่อแหล่งน้ำที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้นั้น จะช่วยให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่า ณ ขณะนั้น อะไรคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำ และอะไรคือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ หากเราเห็นขยะตกอยู่ เราก็สามารถเก็บไปทิ้งถังขยะได้ หากเรากำลังจะใช้สบู่ก็ควรเลี่ยงการชำระล้างลงในน้ำโดยตรง หรือหากเห็นเรือกำลังแล่นด้วยความเร็วสูงใกล้แนวปะการัง เราก็ควรตระหนักว่าสิ่งนั้นกำลังทำลายธรรมชาติ การที่เรามีความใส่ใจและหมั่นเรียนรู้สิ่งรอบตัว จะทำให้เราเป็นนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบและสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในทุกสถานการณ์ค่ะ แล้วจุดไหนบอกได้ว่าเป็นจุดที่เราควรทำที่สุดในการป้องกันแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำไม่ให้ประสบปัญหาน้ำเสีย นั่นคือการให้ความสำคัญกับการไม่ทิ้งขยะลงแหล่งน้ำเด็ดขาด และการให้ความรู้และสร้างความตระหนักค่ะ เพราะการไม่ทิ้งขยะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดที่ทุกคนสามารถทำได้ทันที และส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมหาศาล เพราะขยะคือสิ่งที่มองเห็นชัดเจนและเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของปัญหาน้ำเสีย ส่วนการให้ความรู้และสร้างความตระหนักนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคือการสร้างจิตสำนึกที่ดีในระยะยาว เมื่อผู้คนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสาเหตุและผลกระทบของปัญหาน้ำเสีย พวกเขาก็จะเกิดความตระหนักรู้และตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง รวมถึงสามารถส่งต่อความรู้นี้ไปยังผู้อื่นได้ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในวงกว้างและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน การเริ่มต้นจากสองจุดง่ายๆ นี้ จะช่วยให้เราทุกคนมีส่วนร่วมในการรักษาแหล่งน้ำให้ใสสะอาด และสวยงามคู่กับธรรมชาติไปอีกนานเท่านานค่ะ โดยแนวทางข้างต้นผู้เขียนก็ได้นำมาใช้ค่ะ เวลานำอาหารไปทานแถวบริเวณชายหาด ก็จะจัดเก็บให้เรียบร้อยค่ะ หากมีขยะขายได้จะขนกลับมาบ้านด้วย ในบางทีก็ได้ไปเก็บขยะแถวแหล่งท่องเที่ยวด้วย ที่เป็นการทำเองตอนว่างค่ะ และไม่เคยไปสระผม ไปล้างรถหรือพาหมาไปอาบน้ำฟองสบู่ในแหล่งท่องเที่ยวใกล้บ้าน จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยหันมาตระหนักกับกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจมองไม่ออกว่าสามารถสร้างภาระให้กับแหล่งน้ำได้ แล้วทำใหม่ด้วยการนำแนวทางข้างต้นไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดที่รูปโปรไฟล์ใต้ชื่อบทความนี้ได้เลยค่ะ เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปกและออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล ให้อาหารเต่า อยุธยา @ วัดใหญ่ชัยมงคล ไปเช้าเย็นกลับ จุดชมวิวพัทยา มีที่ไหนบ้าง จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก หาดจอมเทียน หาดเตยงาม ทะเลใกล้กรุงเทพ ที่เที่ยวสัตหีบ ชลบุรี น้ำทะเลใส วิวสวย เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !