รีเซต

ไทยเสี่ยงน้ำทะเลสูงในอีก 25 ปี หวั่นกระทบ 12 ล้านคนริมชายฝั่ง

ไทยเสี่ยงน้ำทะเลสูงในอีก 25 ปี หวั่นกระทบ 12 ล้านคนริมชายฝั่ง
TNN ช่อง16
7 มิถุนายน 2568 ( 09:43 )
11

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ณ จังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่วัดขุนสมุทรจีน อ.พระสมุทรเจดีย์ ชายฝั่งคลองด่าน 

อ.บางบ่อ และหลักเขตกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน โดยมี ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ จังหวัดสมุทรปราการ และ นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ให้การต้อนรับ พร้อมด้วย ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รายงานสถานการณ์ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน โดยรองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำความสำคัญของการเตรียมมาตรการรับมืออย่างเป็นระบบ พร้อมเร่งผลักดันแผนแม่บทป้องกันและปรับตัวในระยะยาว เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา พื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน โดยเฉพาะเขตจังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร กำลังเผชิญกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและชุมชนที่มีประชากรกว่า 12 ล้านคนอยู่อาศัย ซึ่งบริเวณที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ บางขุนเทียน ปากคลองขุนราชพินิจใจ บ้านขุนสมุทรจีน และบ้านแหลมสิงห์ โดยสถานการณ์จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น คาดว่าในปี พ.ศ.2593 (ค.ศ. 2050) ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นราว 0.5 เมตร และอาจสูงถึง 1 เมตรในปี พ.ศ.2643 (ค.ศ. 2100) ขณะที่ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เมตรหากเกิดการล่มสลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้แก่ การสูญเสียพื้นที่ชายฝั่ง การเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กลอง ท่าจีน และบางปะกง รวมถึงการรุกตัวของน้ำเค็ม ซึ่งกระทบต่อการผลิตน้ำประปาและการเกษตรในวงกว้าง


รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งศึกษาจัดทำ “แผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ เพื่อกำหนดแนวทางการรับมือที่เหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียและความเสียหายต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงจะมีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment: SEA) การรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ การวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุนและการพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนชายฝั่งในระยะยาวด้วย

ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี พ.ศ. 2569 ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการกำหนดแนวทางการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบนที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง