ราชกรุ๊ป อวดกำไร ปี'64 กว่า 7.7 พันล้าน เติบโต 23% -ปีนี้อัดงบลงทุน 3 หมื่นล้าน ผุด 6 โครงการใหม่
ข่าววันนี้ น.ส.ชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปี 2565 บริษัทตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้า 28,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการใหม่ 26,500 ล้านบาท 6 โครงการ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,290.69 เมกะวัตต์ และลงทุนในโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนในธุรกิจอื่นนอกภาคการผลิตไฟฟ้า(นอน-พาวเวอร์) 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท ทั้งในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 10%
รวมถึงโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งที่สปป.ลาว โดยบริษัทถือหุ้มทั้งหมด 25% และคาดว่าจะทำการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 4/2565 คาดว่าจากผลการดำเนินงานทั้งโรงไฟฟ้าใหม่ 6 แห่งและธุรกิจนอน-พาวเวอร์จะส่งผลให้ปีนี้บริษัทมีกำไร ก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อมราคา(EBITDA) อยู่ที่ 2,500-3,000 ล้านบาท
“บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีก 700 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่น้อยกว่า 450 เมกะวัตต์ และโครงการประเภทพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนในปี 2565 เพิ่มถึง 9,815 เมกะวัตต์”น.ส.ชูศรี กล่าว
นอกจากนี้ ตั้งเป้าหมายเพิ่มการลงทุนกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนปีละ 250 เมกะวัตต์ และจะต้องเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ 4,000 เมกะวัตต์ในปี 2578 คาดว่าจะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 10 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบกับแผนการปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ ที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2565-2577 พื้นที่รวม 50,000 ไร่ คาดว่าจะช่วยดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 670,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
"จากสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจนั้นต้องยอมรับว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนปัจจุบัน ส่งผลให้ราคาพลังงานผันผวนอย่างแน่นอน ซึ่งบริษัทได้เตรียมรับมือแล้วทั้งเตรียมทำเรื่องเงินกู้ระยะยาวตั้งแต่ช่วงปีก่อน และเตรียมทำแผนป้องกันความเสี่ยงกรณีอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนด้วย"น.ส.ชูศรี กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมแนวทางยกระดับการจัดการประเด็นด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการลดก๊าซเรือนกระจก 6 แนวทาง นับตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนต่อเนื่องทุกปี การกระจายการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ การเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน การปลูกป่าเพื่อสร้างแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งกำหนดสัดส่วนประเภทเชื้อเพลิงสำหรับการลงทุน และจำกัดเพดานการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหิน เชื่อว่าจะช่วยจำกัดและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง
น.ส.ชูศรี กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2565 บริษัทยังกำหนดกลยุทธ์ 3-G (Growth, Green, Generate Strategy) เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย G-1 มุ่งเน้นแสวงหาโอกาสเติบโตเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่ากิจการเพิ่มในอนาคต G-2 สนับสนุนพลังงานทดแทน และยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ G-3 เน้นเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและความเป็นเลิศขององค์กร นอกเหนือจากเป้าหมายการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จะต้องดำเนินการให้สำเร็จแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทมีกำไร 7,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23.6% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.36 บาท