สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่านครับ หลายคนที่กำลังนั่งทำงานใน office หรือเคยผ่านประสบการณ์นั้นมา คงเข้าใจดีว่าความเครียดในที่ทำงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะมาจาก งานที่ต้องเร่งด่วน เจ้านายที่กดดัน เพื่อนร่วมงานที่เข้ากันไม่ค่อยได้ หรือบรรยากาศออฟฟิศที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ ในมุมมองผู้เขียนนะครับ ความเครียดไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีจัดการ ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานได้จริง ๆ วันนี้ผมเลยอยากจะมารีวิว 5 วิธีที่เคยใช้เอง หรือเคยเห็นเพื่อนร่วมงานหลาย ๆ คนทำแล้วได้ผล มาบอกต่อให้ผู้อ่านทุกท่านครับ เผื่อจะได้ลองนำไปใช้ในชีวิตจริงครับผม วิธีที่ 1 : การจัดระเบียบงานและเวลาให้ชัดเจน จากผู้เขียนนะครับ ปัญหาความเครียดอันดับต้น ๆ ของคนทำงาน office คือ งานเยอะจนล้นมือ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี สุดท้ายก็เกิดความกดดันกับตัวเอง สิ่งที่ผมลองทำแล้วช่วยได้มาก คือการใช้ To-do List และ Calendar ครับ การเขียนสิ่งที่ต้องทำออกมาเป็นข้อ ๆ และจัดลำดับความสำคัญ จะทำให้สมองเรามองเห็นภาพรวมของงานมากขึ้น ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ซ่อนอยู่ ผู้อ่านทุกท่านครับ เวลาที่เราเห็นว่างานไหน “ต้องทำก่อน” และงานไหน “ทำทีหลังได้” จะช่วยลดความกังวลลงได้เยอะ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลย วันไหนที่มีประชุมใหญ่ ผมจะกันเวลาช่วงเช้าไว้ทำงานที่ต้องใช้สมาธิมาก แล้วค่อยเอางานง่าย ๆ ไปทำตอนบ่าย วิธีนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราควบคุมเวลาได้ครับผม วิธีที่ 2 : หา “มุมพักใจ” เล็ก ๆ ในออฟฟิศ ในมุมมองผู้เขียนนะครับ การทำงานต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก เป็นการเร่งความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว หลายออฟฟิศอาจมีมุมพักผ่อน เช่น มุมกาแฟ ห้องเงียบ ๆ หรือแม้แต่โต๊ะเล็ก ๆ ตรงระเบียง ผมเองเคยใช้วิธีนี้บ่อยมากครับ เวลารู้สึกว่าหัวตัน ๆ หรือโดนงานกดดัน ก็จะเดินไปหยิบน้ำเย็นสักแก้ว เดินไปดูวิวข้างนอกสัก 5 นาที แค่นี้ก็เหมือนได้รีเซ็ตสมองตัวเองใหม่แล้วครับ จากที่ผู้เขียนได้ชมนะครับ บางคนเลือกที่จะเอาหูฟังมาเปิดเพลง Lo-Fi หรือ Jazz เบา ๆ ระหว่างพักสายตา ซึ่งก็ช่วยทำให้ใจเย็นลง และพร้อมกลับมาลุยงานต่อได้ วิธีที่ 3 : สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าอย่างตรงไปตรงมา หลายครั้งที่ความเครียดในออฟฟิศไม่ได้มาจากงาน แต่มาจาก การสื่อสารที่ไม่ตรงกัน เช่น เจ้านายสั่งงานแบบนึง แต่เราเข้าใจอีกแบบหนึ่ง หรือเพื่อนร่วมงานไม่ส่งต่อข้อมูลให้ครบ ทำให้ต้องมาแก้งานซ้ำ ในมุมมองผู้เขียนนะครับ สิ่งที่ช่วยลดความเครียดได้ดีที่สุดคือ การกล้าพูด กล้าขอความช่วยเหลือ ผมเคยลองเอาวิธีนี้มาใช้ เวลาที่เจองานยาก ๆ ก็เข้าไปคุยตรง ๆ กับหัวหน้าว่า “อันนี้ผมทำทันใน 3 วันนะครับ แต่ถ้าอยากได้เร็วกว่าอาจต้องลดเนื้องานบางส่วน” การสื่อสารแบบนี้ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และลดปัญหาความกดดันที่เกิดจากความไม่ชัดเจนครับ ผู้อ่านทุกท่านครับ อย่าลืมว่า office ไม่ใช่ที่ที่เราต้องสู้คนเดียว การมีเพื่อนร่วมทีมที่พร้อมช่วยเหลือและคุยกันได้จริง ๆ จะทำให้บรรยากาศทำงานเบาลงเยอะครับผม วิธีที่ 4 : ใช้กิจกรรมระหว่างวันเป็น “วาล์วระบายความเครียด” ในออฟฟิศสมัยใหม่ หลายที่เริ่มให้ความสำคัญกับ Wellness หรือสุขภาพจิตของพนักงานมากขึ้น เช่น จัดคลาสโยคะเบา ๆ ระหว่างพักเที่ยง มีมุมออกกำลังกายเล็ก ๆ หรือแม้แต่กิจกรรมเกมสั้น ๆ หลังประชุม จากที่ผู้เขียนได้ชมนะครับ สิ่งเหล่านี้ช่วยได้จริง เพราะเป็นการ “เบรก” ร่างกายและสมองจากความเครียด ผมเองเคยลองเข้าร่วมกิจกรรมเดินเร็วรอบตึก office 10 นาที รู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้นมาก และกลับมามีสมาธิกับงานต่อ ผู้อ่านทุกท่านครับ ถ้า office ของคุณยังไม่มี กิจกรรมเล็ก ๆ อย่างการยืดเส้น หรือการเดินไปเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีเช่นกัน อย่าปล่อยให้ร่างกายติดกับเก้าอี้ทั้งวันครับ วิธีที่ 5 : แยกชีวิตการทำงานออกจากชีวิตส่วนตัว ในมุมมองผู้เขียนนะครับ ข้อนี้ถือว่าสำคัญที่สุด หลายคนเครียดจากการทำงานเพราะ “เอางานกลับบ้าน” ไม่ว่าจะเป็นการเช็กอีเมลหลังเลิกงาน การตอบแชทงานตอนดึก หรือการคิดวนอยู่กับปัญหาที่ office ผมเคยลองใช้วิธีนี้ครับ คือหลังเลิกงานจะปิดแจ้งเตือนงานทุกอย่าง และกันเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนกับครอบครัวหรือทำสิ่งที่ชอบ เช่น เล่นกีฬา อ่านหนังสือ ดูซีรีส์ การทำแบบนี้ทำให้สมองรู้จักแยกว่า “เวลาไหนทำงาน เวลาไหนพักผ่อน” จากที่ผู้เขียนได้ชมนะครับ หลายบริษัทใหญ่ ๆ ก็เริ่มสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยการไม่ส่งงานนอกเวลาทำงาน หรือมีนโยบายให้พนักงานใช้เวลาส่วนตัวอย่างเต็มที่ ซึ่งในระยะยาวจะช่วยลดอัตราการ Burnout ของพนักงานได้จริง ๆ ครับ ทั้งหมดนี้คือ 5 วิธีจัดการความเครียด เมื่อทำงานใน office ที่ผู้เขียนอยากจะแชร์ให้ผู้อ่านทุกท่านครับ ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบงาน การหามุมพักใจ การสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน การใช้กิจกรรมระหว่างวัน และการแยกงานออกจากชีวิตส่วนตัว ในมุมมองผู้เขียนนะครับ ความเครียดไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้จักดูแลตัวเอง ถ้าเราหาวิธีจัดการได้ดี เราจะไม่เพียงทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น แต่ยังมีสุขภาพใจที่แข็งแรงพร้อมสู้กับวันต่อ ๆ ไปครับผม ภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปก จาก Ronald Carreño from Pixabay ภาพที่ 1 จาก hamonazaryan1 from Pixabay ภาพที่ 2 จาก tookapic from Pixabay ภาพที่ 3 จาก rawpixel from Pixabay ภาพที่ 4 จาก donterase from Pixabay เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !