จากตำนานคำบอกเล่า สู่การสร้างประเพณีที่สอดแทรกคติความเชื่อและวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของคนอีสาน ในพิธีกรรมที่เรียกว่า "การแตกบ้าน" พิธีกรรมการแตกบ้าน ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ที่มา : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน การแตกบ้านถือได้ว่าเป็นประเพณีที่สำคัญของคนอีสาน ซึ่งปรากฏแทบทุกจังหวัดในภูมิภาค โดยเฉพาะในแถบอีสานตอนกลาง พิธีกรรมนี้เป็นคติโบราณ ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นสาเหตุที่จะต้องทำ มีคำกล่าวว่า เดือน ๕ เป็นเดือนร้อน จนต้องมีการห้ามทำบุญในเดือน ๕ เช่นการทำบุญแจกข้าว แต่งงาน หรือขึ้นบ้านใหม่ เพราะหากทำแล้วจะไม่ดี จึงเป็นที่มาของการเล่นน้ำสงกรานต์ และวันอังคารถือเป็นวันที่มีอำนาจ เป็นวันแข็ง จนมีความเชื่อกันว่าห้ามเผาศพวันอังคาร ห้ามทำบุญหาผีในวันอังคาร หรือแม้แต่การเตรียมบุญก็ไม่สามารถทำได้ในวันนี้ จากสองคติข้างต้นมารวมกัน หากปีใดที่วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ แล้วไปตรงกับวันอังคาร ปีนั้นถือเป็นปีที่ไม่ดี หรือจะเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นในหมู่บ้าน ฉะนั้นจึงจะต้องมีการแก้เคล็ด (การแก้แคล็ด หมายถึง การกระทำเพื่อทำให้สิ่งที่ไม่ดีนั้นหายไป หรือที่บอกว่า จากร้ายให้กลายเป็นดีนั้นเอง) คือการแตกบ้าน เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าชาวบ้านได้หนีจากสิ่งที่ไม่ดีแล้ว เพื่อไปพึ่งที่ใหม่ที่มีความร่มเย็นเป็นสุขสิ่งที่ต้องทำในวันแตกบ้าน พิธีกรรมการแตกบ้าน ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ที่มา : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ในวันนั้นผู้คนจะตื่นแต่เช้า นึ่งข้าว หากับข้าวกับปลา จัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน ของใช้ของสอดต่าง ๆ จากนั้นชาวบ้านจะเดินไปรวมตัวกันแล้วทำการแตกบ้านไปทางทิศใต้ เลี้ยวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วไปพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่เห็นสมควร กินข้าวกินปลา ในสมัยก่อนหรือในปัจจุบันบางหมู่บ้านก็ยังทำอยู่บางที่ คือชาวบ้านจะอยู่ ณ สถานที่นั้นทั้งวัน จะหาอาหารทำกับข้าวสู่กันกินที่นั้น หากุ้งหอยปูปลา ทำกับข้าวถวายเพลพระสงฆ์ที่นั้น แล้วอยู่จนถึงช่วงเย็น จึงจะมีคนไปเรียกให้กลับเข้ามาในหมู่บ้าน จากนั้นชาวบ้านจะเดินจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ เข้าสู่หมู่บ้านในทิศตะวันออก เป็นอันเสร็จพิธี ในอดีตสาเหตุที่ไปทั้งวันเพราะเดือน ๕ (เมษายน) ถือเป็นหน้าแล้ง ชาวบ้านไม่มีอะไรทำอยู่แล้วจึงสามารถที่จะไปได้ทั้งวัน แต่ในปัจจุบันเป็นยุคของการทำงาน จึงมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบางที่ คือทำพิธีแค่ตอนเช้า ถวายจังหันเช้าแด่พระสงฆ์ก็เป็นอันเสร็จพิธีพิธีกรรมการแตกบ้าน ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ที่มา : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน หากไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น ? ตามคติกล่าวว่าจะมีช้างใหญ่เข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงต้องแตกบ้านหนีช้างใหญ่ (ช้างใหญ่ในคตินี้คือพญามารหรือสิ่งที่ไม่ดีนั้นเอง) หากใครไม่ไปจะถูกช้างใหญ่จับกิน ซึ่งเป็นการหลอกเด็ก ๆ ให้กลัวทำให้เด็ก ๆ ต้องไปแตกบ้านเพราะกลัวช้างใหญ่ ซึ่งถือเป็นกุศโลบายที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ ไปสืบสานประเพณีที่ดีงามนี้ไว้ อีกประการคือหากปีใดที่ครบรอบแล้วไม่ทำจะเกิดสิ่งที่ไม่ดี กล่าวคือจะเกิดอาเพศ เช่น ฝนแล้ง เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตาย ข้าวยากหมากแพง หรือสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ จากความเชื่อเหล่านี้จึงนำมาสู่แนวปฏิบัติที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่นัยยะสำคัญ ของการแตกบ้านมันอยู่ที่ผู้คน มิใช่พิธีกรรมแต่อย่างไร การมีพิธีกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชนใด ถือเป็นสิ่งที่บอกถึงความยั่งยืนของชุมชนจากอดีตสู่ปัจจุบัน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความสามัคคีของคนในชุมชน การไปแตกบ้านแล้วออกไปนั่งรวมตัวกัน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งทำให้ชาวบ้านได้มองเห็นน้ำใจซึ่งกันและกัน เกิดการแบ่งปันกัน เช่นการแบ่งปันอาหารรวมไปถึงการแบ่งปันความสุข ซึ่งผู้เขียนขอเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าศรัทธา และจะขอนิยามคำว่าศรัทธาตามความคิดของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมพิธีกรรมแบบนี้บ่อยครั้ง ว่า ศรัทธาหมายถึง "ความสุขที่กลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งซึ่งเชื่อและแสดงออกในสิ่งเดียวกัน เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ" หลายคนอาจจะมองพิธีกรรมการแตกบ้านว่าเป็นเรื่องงมงาย เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ผู้เขียนไม่ขอค้านความเห็นนี้ เพราะหากจะมองในด้านของวิทยาศาสตร์ ก็ไม่อาจจะเอามาอธิบายการทำพิธีกรรมนี้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลนั้น แต่หากจะมองด้านสังคมศาสตร์ผู้เขียนเชื่อว่าพิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมที่ทรงคุณค่าและมีความหมายมากกับชาวอีสาน ตั้งแต่ผู้เขียนเกิดมา ณ ปัจจุบัน อายุ 20 ปี ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมพิธีกรรมนี้ 3 ครั้ง ซึ่งในห้วงเวลา 20 ปีมานี้ก็พึ่งมีพิธีกรรมแบบนี้เกิดขึ้นเพียง 3 ครั้งเท่านั้น มันทำให้เป็นเครื่องยืนยันความสำคัญของพิธีกรรมนี้ว่าแม้เวลาจะห่างกันยาวนานแต่ชาวบ้านก็ยังคงปฏิบัติสืบมา ถึงจะรู้ว่าช้างใหญ่ที่ตำนานกล่าวถึงนั้นไม่มีอยู่จริง แต่ก็ยังทำเพื่อความสบายใจ มีปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าวว่า "ยังไงก็ต้องทำเพราะเมื่อทำแล้วก็จะได้รู้สึกสบายใจ และหากเกิดเหตุอะไรขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องมานั่งโทษนั้นโทษนี้" ซึ่งถือเป็นกุศโลบายที่แยบยลมากสำหรับคนอีสานโบราณ