สถิติคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินช่วง7วัน กทม.แชมป์ รองลงมาปทุม และภูเก็ต ลั่นบังคับกฎหมายเข้ม

“สราวุธ”เผยสถิติคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินช่วง7วัน เคอร์ฟิว 5พันกว่าคดี ตัดสินเสร็จ4.8พันคดี ลั่นบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดแต่ไม่ละเลยสิทธิเสรีภาพจำเลย เล็งใช้วิธีการใหม่ติดอีเอ็มกักในบ้าน ขู่พวกติดกำไลเเต่ฝ่าฝืนคำสั่งศาลโดนคุก6เดือน
เมื่อวันที่ 10 เมษายน นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และพ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ
ซึ่งศูนย์ข้อมูลคดี สำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้รวบรวมสถิติคดีดังกล่าวภายหลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. โดยไม่มีความจำเป็น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เม.ย.63 ที่ผ่านมา เพื่อลดการสัญจรของ พี่น้องประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 ในส่วนของภาพรวมสถิติคดีสะสมภายหลังประกาศเคอร์ฟิว 7 วัน (3 – 9 เมษายน 2563) ในกลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง มีจำนวนคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณา ทั้งหมด 5,071 คดีพิพากษาแล้วเสร็จ ทั้งหมด 4,830 คดี (คิดเป็นร้อยละ 95.19)
ข้อหาที่มีการกระทำความผิดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548จำนวน 5,504 คน เป็นสัญชาติไทย 5,197 คน เเละสัญชาติอื่น 307 คน ในความผิดพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มีจำนวน 40 คน สัญชาติไทย 35 คน สัญชาติอื่น 5 คน เเละความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 จำนวน 1 คน สัญชาติไทย 1 คน สัญชาติอื่นไม่มี
สำหรับจังหวัดที่มีผู้กระทำความผิด สูงสุด 3 อันดับ ในความผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร 334 คน อันดับ 2 ปทุมธานี 303 คน อันดับ 3 ภูเก็ต 255 คน
ส่วนความผิดพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 อันดับ 1 จังหวัด ชลบุรี 19คน อันดับ 2 จังหวัด สมุทรสาคร 11คน อันดับ 3 บุรีรัมย์ น 3คน
พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 อันดับ 1 จังหวัด นราธิวาส จำนวน 1 คน
สำหรับกลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว
1. จำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 322 คำร้อง เป็นข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุมฐานผิดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548จำนวน 326 คน สัญชาติไทย 315 คน สัญชาติอื่น 11 คน
ความผิดฐาน พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558จำนวน 3 คน สัญชาติไทย 3 คน สัญชาติอื่น ไม่มี มีผลการตรวจสอบการจับ จำนวน 331 คน ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 329 คน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 2 คน
นายสราวุธ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น แม้ว่าศาลจะคำนึงถึงสถานการณ์ความปลอดภัยสาธารณะในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ละเลยสิทธิและเสรีภาพของจำเลย ศาลจะบังคับใช้กฎหมายอย่างถึงที่สุดหรืออาจจะกักขังในเคหะสถานโดยติดกำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เพื่อกำกับและติดตามความประพฤติตามคำสั่งศาล ซึ่งที่ผ่านมา ส่วนควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางของบุคคลผู้ได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยศาล หรือ “ศูนย์ EM” ได้มีการจัดเวรผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ช่วงเวลากลางคืนทำการตรวจสอบผู้สวมใส่กำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ (EM) และได้ตรวจสอบพบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 5 – 9 เมษายน 2563 เวลา 22.00 – 4.00 น. มีผู้สวมใส่กำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ใช้ความเร็วในการเคลื่อนไหวเกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง จำนวนทั้งสิ้น 143 คน ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาล ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงอยากย้ำเตือนให้พี่น้องประชาชนเคารพกฎหมายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันในการช่วยลดเชื้อเพื่อหยุดโรค