THE SECRET พูดถึงเรื่องของกฎแรงดึงดูด สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เราอาจดึงดูดสิ่งนั้นมาโดยไม่รู้ตัว หากเราสร้างจินตภาพและเชื่อมั่นในความปรารถนาว่ามันเกิดขึ้นได้จริง สิ่งนั้นก็จะเป็นจริง เรื่องนี้มีคนตีความผิดเยอะพอสมควรว่าถ้านอนอยู่บ้านเฉยๆ เดี๋ยวแรงดึงดูดจะช่วยส่งมาเอง แต่ก็ได้รับความกระจ่างในภายหลัง THE GREATEST SECRET คือการข้ามโลกวัตถุไปสู่โลกของจิตวิญญาณ ที่ที่ความเป็นไปได้ทุกอย่างมีอยู่จริง พร้อมถ้อยคำจากผู้นำทางจิตวิญญาณทั้งอดีตและปัจจุบันสู่การดับทุกข์เพื่อพบสุขชั่วนิรันดร์ ผลงานโดย Rhonda Byrne และคณะ วิกันดา จันทร์ทองสุข แปล ความรู้ความประทับใจที่ได้ภายในเล่ม ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเราก็ชี้ปมปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตไปตรงนั้นตรงนี้ แต่สาเหตุแท้จริงของปัญหาในชีวิตกลับถูกมองข้ามไป นั่นก็คือการเข้าใจและยอมรับธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง สิ่งนี้แหละที่เป็นยารักษาทุกอย่าง” ได้เรียนรู้ว่าร่างกายของคุณคือสสาร มันไม่มีสตินึกรู้ มันไม่รู้ว่ามันคือร่างกาย แต่ “คุณ”รู้ว่ามันคือร่างกาย นิ้วเท้าไม่รู้ว่ามันคือนิ้วเท้า ข้อมือไม่รู้ว่ามันคือข้อมือศีรษะไม่รู้ว่ามันคือศีรษะ สมองไม่รู้เลยว่ามันคือสมอง แต่ “คุณ” รู้จักอวัยวะของร่างกายแต่ละส่วนและทุกส่วน แล้วคุณจะเป็นร่างกายได้อย่างไรในเมื่อคุณรู้จักอวัยวะที่ต่างกันทั้งหมด แต่อวัยวะพวกนั้นไม่มีส่วนไหนรู้จักคุณเลย ได้เรียนรู้ว่าการเป็นตัวบุคคลของคุณเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นถ้าการเป็นตัวบุคคลคือคุณ แล้วคุณคือบุคคลคนไหน คุณคือคนที่มีความโกรธ คนที่มีความรัก คนที่แค้นเคือง คนที่หงุดหงิด หรือคนใจดี คุณอาจจะคิดว่าคุณคือทั้งหมดที่ว่ามา แต่คุณจะเป็นทุกคนที่ว่ามาทั้งหมดไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่โกรธก็จะต้องไม่หายไป ต้องคงอยู่อย่างนั้นตลอด หรือถ้าคุณคือคนที่เคืองแค้นจริง ๆ เมื่อคนที่เคืองแค้นหายไป ตัวคุณส่วนหนึ่งก็ต้องหายไปด้วย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ถูกไหมคะ คุณอยู่ตรงนี้มาก่อนคนโกรธจะปรากฏขึ้น คุณอยู่ตรงนี้หลังจากที่คนโกรธหายไป คุณอยู่ตรงนี้มาก่อนที่คนเคืองแค้นจะปรากฏ และคุณอยู่ตรงนี้หลังจากที่คนเคืองแค้นหายไปเห็นได้ชัดว่าคุณไม่ใช่อารมณ์หรือบุคคลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ เลย ได้เรียนรู้ว่าวิธีเลิกนิสัยคิดเรื่อยเปื่อยไม่หยุดหย่อนคือการคงอยู่ในภาวะการรับรู้อันไร้ขีดจำกัด ซึ่งเป็นตัวคุณ คุณไม่สามารถใช้จิตใจเพื่อหยุดจิตใจและเลิกนิสัยชอบคิด นี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดคนมากมายถึงทำสมาธิไม่ได้ เพราะพวกเขาพยายามใช้ความคิดดับความคิด แทนที่จะยอมให้ความคิดผ่านเข้ามาแล้วออกไปโดยไม่ให้ความสนใจกับมัน ได้เรียนรู้ว่าจิตใจไม่ใช่สมอง สมองไม่คิด ความคิดมาจากจิตใจ จิตใจสร้างขึ้นมาจากความคิดล้วน ๆ หากไม่มีความคิด ณ ปัจจุบัน ก็ไม่มีจิตใจ คนส่วนใหญ่เชื่อความคิดของตัวเองราวกับว่าความคิดพวกนั้นคือข้อเท็จจริงซึ่งเพราะเหตุนี้ ชีวิตคนจึงเต็มไปด้วยความเครียดและอุปสรรคปัญหามากมาย ได้เรียนรู้ว่าเรื่องโกหกที่ใหญ่ที่สุดในจิตใจเราซึ่งคอยกล่อมให้เราเชื่ออยู่เสมอนั้นก็คือเรื่องเกี่ยวกับเวลา เวลาเป็นมายา เป็นแนวความคิดทางจิตซึ่งจิตใจสร้างขึ้นมาเอง จิตใจเรายังหว่านล้อมเราให้เชื่อเรื่องเวลา เวลาคือมายา คือแนวคิดที่จิตใจสร้างขึ้น สิ่งที่มีอยู่จริงมีเพียงแค่ปัจจุบันขณะ อดีตและอนาคตมีอยู่จริงในรูปแบบของความคิดเท่านั้น ได้เรียนรู้ว่าคุณไม่ต้องกำจัดความคิดหรือสู้รบปรบมือกับความคิดของตัวเอง การรับรู้จะเป็นหนทางที่พาคุณออกจากความวิบัติของจิตใจเมื่อเราสังเกตความคิดตัวเอง แทนที่จะหมกมุ่นอยู่ในความคิด เราจะเห็นธาตุแท้ของความคิดว่าที่จริงแล้วมันคือสิ่งที่แยกออกจากตัวคุณเอง ซึ่งคุณสามารถเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ได้เรียนรู้ว่าตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นเด็กเล็ก เราข่มกลั้นความรู้สึกแย่ ๆ โดยไม่รู้ตัวมามากมายนับไม่ถ้วน และตอนนี้เราเก็บมันไว้ในจิตใต้สำนึก ความรู้สึกเลวร้ายยังคงฝังกลบอยู่ในจิตใต้สำนึก คอยลดทอนพลังงานและชีวิตของเราพลังงานพวกนั้นติดค้างอยู่ในร่างกาย และพลังงานที่ติดค้างอยู่นี้สร้างความปั่นป่วนให้กับสุขภาพทางกาย รวมถึงสภาพแวดล้อมในชีวิตของเราด้วย ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราค่อย ๆ ถูกตีตราว่าเป็นผู้ใหญ่ เราข่มกลั้นอารมณ์ได้เก่งขึ้นและทำเช่นนั้นตลอดเวลาจนมันกลายเป็นธรรมชาติอย่างที่สองของเรา เราเก็บอารมณ์ได้เก่งมากและเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเดิมที่เราจะปล่อยอารมณ์เหล่านั้นออกไป อันที่จริงเราเก็บกลั้นพลังอารมณ์ของตัวเองไว้มากมายจนเราคล้ายกับเป็นระเบิดเวลาเดินได้ บ่อยครั้งเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราได้เก็บกลั้นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่แท้จริงของเราเอาไว้ จนกระทั่งสายเกินไป ร่างกายของเราแสดงอาการที่บอกถึงความเจ็บป่วยอันมีที่มาจากความเครียด ไหล่ห่อ ท้องไส้ปั่นป่วน หรือเราอาจจะระเบิดอารมณ์และพูดหรือทำบางอย่างซึ่งต้องมาเสียใจภายหลัง ได้เรียนรู้ว่าเรากล่อมให้ตัวเองเชื่อว่าถ้าหากเราต่อต้านความรู้สึกเลวร้าย ก็จะไล่มันออกไปได้ แต่กลับกัน หากทำอย่างนั้นย่อมเป็นการการันตีว่าเราจะได้เจอมันซ้ำ ๆ อีก จิตแพทย์คาร์ล จุง ได้บอกไว้ว่า “ถ้าคุณต่อต้าน สิ่งนั้นจะฝืนต้าน” ดังนั้นจงเลิกต่อต้าน แล้วความรู้สึกเชิงลบซึ่งไม่ว่าจะรุนแรงขนาดไหนก็จะผ่านร่างกายไปอย่างรวดเร็ว ได้เรียนรู้ว่าจงใช้วิธีต้อนรับทุกอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกแย่ พวกความคิดเชิงลบหรือว่าเรื่องราวเลวร้าย ความรู้สึกเชิงลบ ความรู้สึกเจ็บปวดหรือว่าความทรงจำเลวร้าย และความเชื่อคับแคบทั้งหลาย การต้อนรับจะปล่อยเราให้เป็นอิสระจากพันธะทางอารมณ์และช่วยให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นทุกทาง ได้เรียนรู้ว่าวิธีหนึ่งที่จะเผยความเชื่อของตัวเองออกมาก็คือการรับรู้ปฏิกิริยาตอบกลับของตัวเอง เมื่อเรามีปฏิกิริยาต่ออะไรบางอย่าง นั่นเพราะเรามีความเชื่อฝังอยู่ในตัวเองซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยานั้น ปฏิกิริยานั้นแท้จริงแล้วคือความเชื่อที่ปลอมตัวมา ยกตัวอย่างเช่น : เราได้รับบิลค่าไฟฟ้าซึ่งแพงกว่าที่คาดไว้เรามีปฏิกิริยาตอบกลับเชิงลบ ความเชื่อที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาแบบนั้นคือความเชื่อเรื่องที่เราไม่มีเงิน แต่ก็เหมือนกับความเชื่อทั้งหลาย มันเป็นความจริงในชีวิตของเราก็เพราะว่า เราเชื่อมันเท่านั้นเอง สิ่งเดียวที่คุณต้องทำเพื่อสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับของตัวเองก็คือรับรู้ปฏิกิริยาตอบกลับนั้น เมื่อคุณรับรู้ปฏิกิริยาตอบกลับ ก็ถือว่าคุณดึงพลังออกมาจากมัน เพราะการรับรู้คือพลังซึ่งจะสลายความขัดแย้งและทุกสิ่งที่เป็นเชิงลบทั้งหมด ได้เรียนรู้ว่าเราสามารถมีความสุขกับสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่เราอยากเป็น อยากมี หรืออยากได้ในโลก แต่เราต้องมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นด้วยใจที่รับรู้เต็มเปี่ยมว่าสถานที่เดียวที่เราจะหาความสุขแท้จริงถาวรได้ก็คือภายในตัวเรา ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำให้คนตาบอดไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการยึดติด การยึดติดหรือภาวะของการเหนี่ยวรั้งมาจากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าของบางอย่างหรือคนบางคนจะทำให้คุณมีความสุข ได้เรียนรู้ว่า...ลองนึกภาพคนสองคนที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน ทั้งคู่บอกว่ารักงานที่ตัวเองทำและมีความสุขที่ได้ไปทำงานทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อมาถึงที่ทำงาน...ทั้งสองก็ได้ยินข่าวว่าในวันนั้นจะมีการปลดพนักงานออก ร่างกายของนายเอท่วมท้นด้วยความกลัวทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ “ถ้าฉันถูกปลดจะทำยังไงล่ะ ถ้าฉันหางานใหม่ไม่ได้จะเป็นยังไง ฉันต้องไม่มีเงินจ่ายค่าโน่นนี่หรือว่าค่าผ่อนบ้าน บ้านฉันต้องถูกยึดแน่นอน” ความคิดทั้งหมดล้วนมาจากการยึดติดกับงานของตัวเอง คุณจะเห็นว่ามีความกลัวอยู่ในความคิดเหล่านี้ทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน นายที่มีมุมมองที่ต่างออกไป เขารู้ว่าตัวเองจะมีความสุขไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขารู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตล้วนเปลี่ยนแปลง และทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมดีที่สุดแล้วไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด เขารู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่าเมื่อสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น สิ่งที่ดีกว่าจะตามมา ถ้าหากเขาถูกปลดออกจากงานขึ้นมา เขารู้ว่าตัวเขาจะต้องหางานใหม่ได้และเขารู้ว่างานใหม่จะต้องดีกว่าเดิม นี่คือการไม่ยึดติด ได้เรียนรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องลำบากกำจัดสิ่งยึดติด เราไม่จำเป็นต้องทุ่มเทพยายามเพื่อจะเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเอง สิ่งยึดติดมาจากการที่จิตใจกำหนดสิ่งยึดติดขึ้นมา ดังนั้นเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งยึดติด เราต้องคงอยู่ในภาวะการรับรู้ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ และสิ่งยึดติดทั้งหลายก็จะหลุดไปทีละอย่าง ได้เรียนรู้ว่าถ้าคุณไม่รู้สึกเป็นสุข จำไว้ว่า ต้องต้อนรับความรู้สึกทุกอย่างที่ไม่ใช่ความสุขและยอมให้มันปรากฏขึ้นโดยไม่พยายามจะไปเปลี่ยนหรือกำจัดมัน เมื่อคุณต้อนรับความรู้สึกใดก็ตามที่ปรากฏขึ้นมา คุณก็จะรู้สึกว่ามันสลายกลายเป็นความสุขซึ่งก็คือตัวคุณที่แท้จริง ทุกครั้งที่คุณอ้าแขนต้อนรับความรู้สึกไม่เป็นสุข คุณกำลังเข้าใกล้กับความสุขยั่งยืนขึ้นมาอีก และยิ่งเข้าใกล้กับชีวิตแสนวิเศษที่มีแต่ความลงตัว ยิ่งคุณต้อนรับความรู้สึกไม่เป็นสุขมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งรู้สึกว่าความสุขของตัวตนที่แท้จริงนั้นเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน สุดท้ายคุณจะพบด้วยตัวเองว่า ภายใต้ความรู้สึกไม่เป็นสุข ทุกอย่าง ยังมีความสุขและความรักไม่รู้จบของการรับรู้ซ่อนอยู่ ได้เรียนรู้ว่าพลังที่สามารถเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นโลกและจักรวาลที่ปรากฏให้เห็นได้ ก็คือ การรับรู้ไร้ขีดจำกัด ซึ่งเป็นพลังเพียงอย่างเดียวที่ทำได้จักรวาลเกิดจาก สติ และสติ ซึ่งไร้ขีดจำกัดก็คือรากฐานและสารตั้งต้นของจักรวาล รวมทั้งทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในนั้น ได้เรียนรู้ว่าตายก่อนที่จะตาย หมายความว่าให้ตัดจบภาพมายาของจิตใจที่ว่าคุณคือบุคคลคนหนึ่ง หมายความว่าจงทำให้ แนวคิด ที่ว่าเราเป็นบุคคลคนหนึ่งนั้นตายเสีย แล้วตระหนักว่าตัวเราที่แท้จริงนั้นคือ การรับรู้ไร้ขีดจำกัด เมื่อถึงตอนนั้นคุณก็จะ “ตายก่อนที่จะตาย” และได้พบกับความจริงที่ว่า ความตายไม่มีอยู่จริง ได้เรียนรู้ว่าการมีชีวิตบนโลกก็เหมือนกับมีร่างอวตารในเกมคอมพิวเตอร์ เมื่อร่างกายของคุณตายในเกม คุณก็มีร่างใหม่และกลับไปเล่นเกมต่อ ร่างนั้นร่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกมจบ ความเชื่อโบราณบางอย่างได้บอกเราว่าในชีวิตคนนั้น เราจะมีร่างใหม่ทุกครั้งที่เราตาย จนกระทั่งเรา “จบเกม ด้วยการตื่นรู้และตระหนักอย่างแท้จริงว่าตัวเราคือใคร หรือก็คือ การรับรู้นั่นเอง เราอาจจะมีชีวิตอยู่มาหลายชาติ อาจจะหลายร้อยชาติ แต่การตื่นรู้เพื่อพบกับความจริงที่ว่า สติ และจักรวาล คือความสุขใจ นั่นก็ทำให้ชีวิตในชาตินี้เป็นชาติที่มีความสำคัญมากที่สุดแล้ว "การรับรู้" คือข้อคิดเดียวที่ครีเอเตอร์อยากให้ตระหนักถึง การรับรู้มีความหมายเดียวกับการมีสติ คือรับรู้ทุกความรู้สึกไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ โดยที่เราไม่ต้องต่อต้านปฏิเสธมัน ให้ความรู้สึกผ่านมาผ่านไป เห็นว่ามันอยู่ได้ไม่นาน การรับรู้จะช่วยให้ชีวิตเราเป็นไปในทิศทางที่เราต้องการ แม้จะไม่ 100% เพราะเราต้องค่อยๆฝึก แต่ชีวิตจะดีขึ้นได้เองจากการรับรู้ (ในทางพุทธ การให้ทาน ศีล ภาวนาจะช่วยให้การรับรู้ (สติ) เกิดง่ายขึ้น โดยที่เราไม่ต้องเค้นพยายามมากไป) และนี่คือสิ่งที่ครีเอเตอร์บอกกับตัวเองหลังอ่านจบ เครดิตภาพ ภาพปก โดย wirestock จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย freepik จาก freepik.com ภาพที่ 4 โดย wirestock จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ MANIFEST 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา รีวิวหนังสือ MANIFEST DIVE DEEPER ดำดิ่งลึกซึ้ง ไปให้ถึงทุกปรารถนา รีวิวหนังสือ Four Thounsand Weeks : Time Management for Mortals ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ รีวิวหนังสือ เมื่อแมวที่บ้านคุณผันตัวมาเป็นไลฟ์โค้ช (How to Live Like Your Cat) รีวิวหนังสือ ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !