สันดาน ไม่ใช่คำสบถที่มีความหมายใช้เพื่อเสียดสีใครต่อใคร แต่หมายถึงพื้นของจิตหรือนิสัยที่ได้รับการอบรมมาตั้งแต่เกิด สะสมประสบการณ์มาตามช่วงวัย หากเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีสะสมมากเข้า ถึงแม้สันดานจะเปลี่ยนยากกว่านิสัยก็ตาม แต่ก็ควรจะลองเปลี่ยน กวี ชูกิจเกษม นักลงทุนจากบริษัทวิเคราะห์หลักทรัพย์ชื่อดังจะให้แนวคิด (Mindset) ถึงเรื่องของการมีอิสรภาพตามหลัก 5 ขั้นบันไดเพื่อมีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ในวันที่เราแก่เกินกว่าจะทำงานไหว ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.อิสรภาพทางการเงินมีความหมายในตัวเองอยู่แล้วคือ การมีอิสระจากการเงิน นั่นคือ เราไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องเงินทั้งในปัจจุบัน อนาคต จวบจนเมื่อเราจากโลกนี้ไป และเป็นไปได้ก็อยากเหลือมรดกให้ลูกหลาน หรือบริจาคให้มูลนิธิ แม้กระทั่งตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น เราต้องเข้าใจจริงๆก่อนว่า “อิสรภาพทางการเงิน ไม่เท่ากับ รวย” ไม่สำคัญว่าคุณจะมีเงินเท่าไรหรือแม้กระทั่งไม่มีเงินด้วยซ้ำ คุณก็มีอิสรภาพทางการเงินได้ นิยามของคำว่า"รวย" ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีคำว่าพอ แต่คำนิยามของ “อิสรภาพทางการเงิน” คือคำว่า “พอ” 2.บันได 5 ขั้นสู่อิสรภาพทางการเงิน ประกอบด้วย…. ขั้นที่ 1 สร้างสันดานดีเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ขั้นที่ 2 สร้างเป้าหมายให้ชัดเจนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ขั้นที่ 3 สร้างความรู้ที่เหนือกว่าผู้อื่นเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ขั้นที่ 4 สร้างวินัยและความอดทนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ขั้นที่ 5 สร้างชีวิตหลังพบอิสรภาพทางการเงิน 3.ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรใช้เงินในการบริโภคหรือสร้างหนี้ในการทำธุรกิจ เพราะการกู้เงินมาทำธุรกิจ แน่นอนว่าเสี่ยง แต่เป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่า ธุรกิจส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นหนี้เพื่อให้ธุรกิจโตไวขึ้น การกู้เงินมาทำธุรกิจหรือลงทุนยังสร้างเงินในอนาคต แต่หากกู้มาเพื่อบริโภคมากขึ้น มันคือความผิดพลาดมหันต์ เพราะสิ่งที่คุณจ่ายไปไม่ได้สร้างรายได้ในอนาคต แต่กลับสร้างภาระในอนาคตแทน แม้จะเป็นสินทรัพย์เดียวกันก็ตาม 4.จังหวะซื้อนักลงทุนระยะยาวจะซื้อหุ้นต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขคือ 1) เป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี 2) นักลงทุนเข้าใจในพื้นฐานของหุ้นที่จะซื้อดี และ 3) ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน ขณะที่นักเก็งกําไรจะสนใจ สัญญาณการซื้อจากปัจจัยด้านเทคนิค ไม่สนว่าปัจจัยพื้นฐานหรือ มูลค่าพื้นฐานจะเป็นเช่นไร หรือพูดง่ายๆ คือ นักลงทุนสนใจมูลค่า ส่วนนักเก็งกำไรสนใจเรื่องราคา 5. จังหวะขาย เช่นเดิมนักเก็งกําไรจะใช้สัญญาณทางเทคนิคในการขาย ส่วนนักลงทุนระยะยาวจะขายหุ้นก็ต่อเมื่อ 1) พื้นฐานระยะยาว เปลี่ยนโดยวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ใช่พื้นฐานหุ้นเปลี่ยน เพราะวิกฤติ เศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อทุกบริษัท แต่บริษัทที่มีพื้นฐานดี จะสามารถกลับมาเป็นปกติได้หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้นเวลาจะซื้อหุ้นบริษัทไหน ตั้งคําถามเสมอว่า “เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แล้ว บริษัทจะรอดและกลับมาดีเหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิมได้หรือไม่” 2) มีโอกาสในการลงทุนหุ้นบริษัทอื่นที่ดีกว่า 6.สินทรัพย์จะโตได้เร็ว เมื่อระยะเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ซึ่งหมายถึง เราต้องอดทนรอ ไม่ใช่ผ่านไปแค่ 5 ปี เราก็นําเงินออกมาใช้ แล้วต้องมานับ 1 ใหม่ สินทรัพย์จะโตได้ไว เมื่อผลตอบแทนเพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย เหมือนต้นไม้ใส่ปุ๋ยกับไม่ใส่ปุ๋ยเลย ดังนั้นหากเรายังมีเวลาเหลือพอ จงเพิ่มความเสี่ยงในสินทรัพย์อย่างมีเหตุผลและมีความรู้ 7.Dollar-cost Average คือการลงทุนในสินทรัพย์ทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ด้วยเงินเท่าๆ กัน (อาจเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตตามรายได้ของเราที่เพิ่มขึ้น) ในระยะยาว โดยสินทรัพย์เป็นได้ทั้งพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ หุ้น กองทุนอสังหาฯ ทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้หากไม่มีความรู้ความเข้าใจ หรือมีเงินไม่มากพอที่จะ ซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ด้วยตนเอง เราซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ที่กล่าวมาผ่านกองทุนรวมได้ ซึ่งโดยสถิติพบว่าการลงทุนแบบนี้เราจะชนะตลาดเสมอ 8.ปัจจัยในการเลือกหุ้น 1. เป็นบริษัทที่มีกําไรและเงินปันผลเติบโตสม่ำเสมอในระยะยาว มากกว่า 10 ปี เพื่อความมั่นใจว่าบริษัทเคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาได้ 2. เป็นบริษัทที่มีอำนาจในการต่อรองกับลูกค้าได้สูง คือขึ้นราคาสินค้า เพื่อรักษาอัตรากำไรให้คงที่หรือเพิ่มขึ้น 3. เป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจ ซึ่งจะเป็นบริษัทที่มีแรงต้านจากคู่แข่งที่จะเข้ามาใหม่ หรือต้านการ disruption ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 4. เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทผ่านวิกฤติต่างๆ ไปได้ในอนาคต 5.เป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงและรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง ไม่ผันผวน 6. เป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาล โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง ซึ่งปัจจุบันนี้ตรวจสอบได้ไม่ยาก หากเราตั้งใจจริง 9.ปัจจัยไม่เลือกหุ้นลงทุน 1.บริษัทพึ่งพาผู้บริหารมากเกินไป ถ้าเขาลาออกบริษัทมีผลกระทบ 2.บริษัทพึ่งพาลูกค้าเพียงไม่กี่ราย (ความภักดีของลูกค้าไม่มีในโลก) 3.บริษัทมีความผันผวนของกำไร/อัตรากำไรขั้นต้น แปลว่าบริษัทไม่มีอำนาจต่อรองกับคู่ค้าหรือลูกค้า 10.อย่างไรก็ตามการประเมินมูลค่าหุ้นไม่ง่ายเหมือนการประเมินราคาปัจจัยกระทบต่อกำไรหรือเงินปันผลของบริษัทมีมากมายและไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงบ่อยอีกต่างหาก ดังนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะประเมินมูลค่าหุ้นได้แบบถูกต้อง 100% ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจก็เพียงแค่รู้ว่า “หุ้นถูก” หรือ “หุ้นแพง”ก็พอ โดยเมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นแพง เราก็ไม่ควรซื้อ และเมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นถูก เราก็ควรเข้าไปซื้อ หากหุ้นนั้นคือหุ้นที่เราเลือก (แต่น่าเสียดายตรงที่นักลงทุนมักพลาดไปซื้อตอนหุ้นแพง ทำให้ต้นทุนหุ้นที่ถืออยู่แพงเกินไป ส่งผลให้กำไรจากส่วนต่างราคาลดลงหรือขาดทุน ทั้งที่เลือกซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีแล้ว) 11.ดังนั้นเราจะให้ความสำคัญกับต้นทุนของหุ้นที่จะซื้อมากกว่านั่งมองว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์ เวลาเห็นราคาหุ้นของบริษัทที่เราอยากลงทุนปรับลงมาแรงๆกลับดีใจ รู้สึกว่าแนวคิดแบบตรงกันข้ามกับคนหมู่ใหญ่นี่เองที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ 12.เราจะใช้วิกฤติที่เกิดขึ้นทั้งกับเศรษฐกิจโดยภาพรวม หรือวิกฤติเป็นรายอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งวิกฤติเป็นรายบริษัท (เฉพาะที่เราอยากลงทุน) มาประกอบการซื้อหุ้น จะไม่ซื้อหุ้นตอนที่ทุกอย่างดูดี เศรษฐกิจไทยดี เศรษฐกิจโลกดี กำไรบริษัทในตลาดหุ้นเติบโตดีมาต่อเนื่อง การเมืองดี ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาเรื่อยๆ แต่เราจะใช้ช่วงเวลาวิกฤติเป็นจังหวะในการซื้อ เพราะเวลาเกิดวิกฤติ หุ้นที่เราต้องการลงทุนจะปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนหุ้นของผมถูกอยู่ตลอดเมื่อเทียบกับคนอื่น โดยเฉพาะพวกที่ชอบไล่ราคาหุ้นเพราะหวังว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปอีก 13.ดังนั้นเคล็ดลับที่สำคัญคือ ต้องเน้นการบริหารต้นทุนราคาหุ้นของเราให้ต่ำ เพื่อผลพลอยได้คือ กำไรจากส่วนต่างราคาในอนาคตที่สูง หากเราซื้อตอนราคาหุ้นแพง หรือตอนที่ราคาหุ้นขึ้นไปมากแล้ว ผลที่ได้คือ กำไรจากส่วนต่างราคาจะลดลงหรืออาจขาดทุนได้ แม้เราจะซื้อหุ้นพื้นฐานดีก็ตาม 14.ROE คืออัตราส่วนที่แสดงว่าผู้ถือหุ้นจะได้ผลตอบแทนเท่าไรจากการลงทุน ตัวเลขได้มาจากเอากําไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น เช่น บริษัทมีกําไร 100 ล้านบาท มีส่วนผู้ถือหุ้น 500 ล้านบาท จะได้ ROE = 100 หารด้วย 500 = 20% แต่คําถามคือ เราได้รับผลตอบแทน 20% จากการซื้อหุ้นจริงหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะเราอาจซื้อหุ้นหรือแพงก็ได้ เช่น จากตัวอย่างเดิม หากจํานวนหุ้นของบริษัทมีทั้งหมด 10 ล้านหุ้น ดังนั้นต้นทุน หรือมูลค่าของบริษัทนี้คือ ส่วนผู้ถือหุ้น 500 ล้านบาท หารด้วย 10 ล้านหุ้น ซึ่งจะ เท่ากับ 50 บาทต่อหุ้น (ตัวเลขนี้ถูกเรียกว่า มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) แต่หากเราซื้อหุ้นในตลาดหุ้นที่ราคา 75 บาทล่ะ ดังนั้นเราจะซื้อหุ้น ที่ต้นทุน 10 ล้านหุ้น คูณด้วย 75 บาท ตัวเลขต้นทุนที่ได้คือ 750 ล้านบาท (ตัวเลขนี้ ถูกเรียกว่า มูลค่าตลาด หรือ Market Capitalization) ไม่ใช่ 500 ล้านบาท - ดังนั้น ROE ที่แท้จริงที่เราได้รับคือ กําไรสุทธิ หารด้วยต้นทุนที่เราซื้อจริงๆ ซึ่งก็คือ 100 ล้าน + 750 ล้าน = 13.33% เท่านั้น โดยรวมเนื้อหาเข้าใจง่าย หลักการก็ไม่ได้ซับซ้อน แต่มันอาจจะสุดโต่งไปบ้างสำหรับบางคนที่ต้องประหยัดชั่วชีวิตเพื่อการลงทุนระยะเวลา 30 ปีขึ้นไป เพื่อจะได้มีเงินใช้หลังเกษียณ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าถ้าไม่มีวิธีการทำรายได้เข้ามาต่อเนื่อง นอกเหนือจากงานประจำ เราก็ต้องใช้วิธีลงทุนในกองทุนรวมหุ้น หรือหุ้นสามัญ ทยอยลงทุนแบบ DCA เป็นประจำทุกเดือนไม่ให้ขาด เพื่อที่ว่าตอนเราอายุมากแล้วจะยังมีเงินเหลือให้ใช้นั่นเอง เครดิตภาพ ภาพปก โดย Ivars จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 และ 4 โดย AI บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ How Buffett Does It ตามรอยวอเร็น บัฟเฟตต์ รีวิวหนังสือ GROWTH LECTURE ขุดหุ้นเติบโตได้ในเล่มเดียว รีวิวหนังสือ มนุษย์เงินเดือนต้องรอด The Woke Salaryman เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !