รีเซต

ศาลเจ้ายาสุกุนิกับบริบทรอบด้าน

ศาลเจ้ายาสุกุนิกับบริบทรอบด้าน
มติชน
3 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:10 )
68
ศาลเจ้ายาสุกุนิกับบริบทรอบด้าน

ศาลเจ้ายาสุกุนิเป็นศาลเจ้าชินโตตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว สร้างขึ้นโดยรัฐบาลญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2412 เป็นศาลเจ้าทาง ศาสนาชินโต มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่สักการะบูชาดวงวิญญาณบรรดาทหาร
ผู้เสียชีวิตในสงครามโบชิน (พ.ศ.2411-2412) ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายจักรพรรดิกับฝ่ายโชกุน ต่อมาจึงเป็นศาลเจ้าที่สถิตดวงวิญญาณของบรรดาทหารที่เสียชีวิตในสงครามทุกครั้งของญี่ปุ่นตั้งแต่
ยุคเมจิ (พ.ศ.2411-2455) เป็นต้นมาจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 (เหมือนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่แรกเริ่มเดิมที เป็นที่จารึกรายนามทหารไทยที่เสียชีวิต ในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส แต่ต่อมาก็รวมเอารายชื่อทหารไทยที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเกาหลีเข้าไปจารึกรวมด้วย)

 

ศาสนาชินโตเป็นศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยศาสนาชินโตไม่มีศาสดา แต่มีจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นที่สืบสายเลือดมาจากเทพแห่งดวงอาทิตย์ เป็นประมุขของศาสนา บูชาเทพเจ้าต่างๆ เชื่อถือเวทมนตร์ บูชาธรรมชาติ และบูชาบรรพบุรุษได้มีการฟื้นฟูครั้งใหญ่ในยุคเมจิให้เป็นแบบเผด็จการทหารนิยมบูชาจักรพรรดิอย่างบ้าคลั่ง

 

เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกสหรัฐอเมริกายึดครอง และสหรัฐได้ยกเลิกศาสนาชินโตไม่ให้เป็นศาสนาประจำชาติญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังแยกศาสนาออกจากการเมืองญี่ปุ่นโดยเด็ดขาด ดังนั้นศาลเจ้ายาสุกุนิจึงเป็นศาลเจ้าของทางศาสนาชินโตมีบรรดาพระชินโตเป็นผู้บริหารอย่างเป็นเอกเทศจากรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันนี้ในศาลเจ้ายาสุกุนิ ได้ตั้งป้ายสถิตดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นฝ่ายรัฐบาลไว้ราว 2,466,000 นาย และที่สำคัญคือในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2503-2511 พวกพระชินโตที่ศาลเจ้ายาสุกุนิได้ตั้งป้ายดวงวิญาณของอาชญากรสงครามในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่นที่ถูกลงโทษ โดยศาลอาชญากรรมสงครามกรุงโตเกียวที่จัดเกรดเป็นเกรด B และเกรด C จำนวน 984 ป้ายอย่างเงียบๆ แต่ใน พ.ศ.2521 ก็เกิดเรื่องใหญ่คือ พวกพระชินโตได้ตั้งป้ายดวงวิญญาณของอาชญากรสงครามที่เป็นผู้มีส่วนในการสมคบร่วมเพื่อเริ่มและก่อสงคราม ซึ่งจัดเป็นอาชญากรสงครามเกรด A จำนวน 14 ป้าย ซึ่งรวมทั้งพลเอกฮิเดกิ โตโจ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นอาชญากรสงครามเบอร์หนึ่งด้วยซึ่งบรรดาพวกพระชินโตไม่มีทางที่จะมีรายชื่อบรรดาอาชญากรสงครามเหล่านี้อย่างแน่นอน นอกจากได้รับความร่วมมือจากทางราชการของญี่ปุ่น

 

การตั้งป้ายดวงวิญญาณของบรรดาอาชญากร สงครามเกรด A ที่ศาลเจ้ายาสุกุนิเมื่อ พ.ศ.2521 ทำให้จักรพรรดิฮิโรฮิโตะประกาศเลิกเดินทางไปสักการะดวงวิญญาณทหารผู้เสียชีวิตในสงครามที่ศาลเจ้า
ยาสุกุนิทันทีและยังสั่งลูกหลานคือ จักรพรรดิอากิฮิโตะและจักรพรรดินารูฮิโตะไม่ให้ไปสักการะดวงวิญญาณทหารผู้เสียชีวิตในสงครามที่ศาลเจ้ายาสุกุนิอีกต่อไป ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการแยกศาสนาออกจากการเมืองญี่ปุ่นโดยเด็ดขาด

 

แต่นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นในระยะหลังเริ่มจากอดีตนายกรัฐมนตรี จุนอิจิโร โคอิซูมิ และอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ได้เดินทางไปสักการะที่ศาลเจ้ายาสุกุนิท่ามกลางการประฌามจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ รวมทั้งฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่ได้รับผลการ
กระทำอย่างทารุณโหดร้ายของบรรดาอาชญากร สงครามญี่ปุ่นดังกล่าว

 

ความจริงบรรดาพระชินโต นักการเมืองตลอดจนข้าราชการรุ่นใหญ่ของญี่ปุ่น และบรรดาบรรษัทขนาดยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมของศาลเจ้ายาสุกุนิโดยพยายามปัดความผิดด้วยการสร้างพิพิธภัณฑ์ยูชูคังอยู่ด้านข้างของศาลเจ้ายาสุกุนิ ซึ่งแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ และเล่าเรื่องสงครามอย่างโกหกหลอกลวงแบบหน้าด้านๆ ว่าทหารญี่ปุ่นไม่ผิดอะไรเลย ทรงไว้ซึ่งระเบียบวินัย และมีความกล้าหาญแบบลูกผู้ชายแท้ สำหรับเรื่องราวความทารุณโหดร้ายผิดมนุษย์ของทหารญี่ปุ่นในดินแดนต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นจริงทั้งๆ ที่มีหลักฐานพยานทั้งเอกสาร รูปถ่าย และพยานบุคคลอย่างมากมาย

 

นอกจากนี้ ใกล้กับศาลเจ้ายาสุกุนิก็มีอนุสาวรีย์ของตุลาการศาลอาชญากรรมสงครามกรุงโตเกียวชาวอินเดียชื่อระพินทรนาถ ปาล ที่เป็นตุลาการคนเดียวในบรรดาตุลาการ 11 คนที่พิพากษาว่าบรรดาอาชญากรสงครามญี่ปุ่นทั้งหมดไม่มีความผิด ไม่ควรต้องถูกโทษ ซึ่งอนุสาวรีย์ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความเฉไฉจากการกระทำที่ป่าเถื่อนผิดมนุษย์ของอาชญากรสงครามญี่ปุ่นนั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม บรรดาคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นได้ก้าวข้ามเรื่องของศาลเจ้ายาสุกุนิไปแล้ว แต่ยังคงเหลือแต่นักการเมืองและนักธุรกิจใหญ่ๆ ที่มีเงินทองเหลือเฟือยังคงติดกับดักของความเชื่อและแนวความคิดชาตินิยมอำนาจนิยมที่ล้าสมัยอยู่ ซึ่งก็คงจะสูญพันธุ์ไปในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน

 

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์