จับจังหวะเข้าซื้อหุ้นยูเอส ทาลิสชี้ศก.สหรัฐฟื้นปีหน้า
บลจ.ทาลิส แนะจับสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐเข้าจุดต่ำสุด คือจังหวะลงทุน คาดปลายปีนี้จังหวะซื้อเปิดรับโอกาสฟื้นตัวในปี 2567 ส่วนเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยยังทำตลาดผันผวนได้ต่อ ยังคงแนะนำกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ เน้นหุ้นพื้นฐานแกร่ง แบรนด์ดัง ศักยภาพแข่งขันสูง
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด หรือ บลจ.ทาลิส กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในปี 2566 นั้นยังคงต้องตามดูปัจจัยด้านเศรษฐกิจสหรัฐ ช่วงไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2 เป็นหลักว่าจะออกมาอย่างไร การถดถอยทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตลาดจะตอบรับข่าวนี้อย่างไร เพื่อประเมินทิศทางในการเข้าลงทุน
“แต่ปกติแล้ว เวลาที่เศรษฐกิจฟื้น ตลาดหุ้นจะฟื้นนำไปก่อน ซึ่งในปี 2566 หากนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง การทยอยซื้อในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวก็อาจเป็นโอกาสดีสำหรับอนาคต โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐที่มีการปรับตัวลงมากมาในช่วงที่ผ่านมาจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรง
นายประภาส กล่าวว่า ตอนนี้สัญญาณเงินเฟ้อในสหรัฐดูจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อดีดกลับขึ้นไปอีกก็คงเห็นการเทขายหุ้น แต่นั่นหมายถึงต้องมีเรื่องเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึงเงินเฟ้อถึงจะกลับขึ้นมา ขณะที่ปัจจุบันเชื่อว่า เฟดกำลังประเมินเงินที่ที่กลับมาลงมาจะลงนานแค่ไหน และลงไปในระดับที่เฟดสบายใจ ซึ่งตัวเลขก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4%ถึงจะผ่อนคลายและอาจไม่ขยับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอีก
“เรายังมองว่าเงินเฟ้อระดับ 5-6% เฟดจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 025% แต่ถ้าลงมาที่ระดับ 4% จุดนี้เฟดจะรอดูสัญญาณตัวเลข ต่าง ๆ ที่จะมีผลเงินเฟ้อในอนาคต จนลงมาที่ 3% คาดว่าเฟดน่าจะสบายใจและหยุดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งถ้าเป็นไปตามคาด บลจ. ทาลิส ประเมิน คือไตรมาสแรกปี 66 เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 6% ไตรมาส 2/66 จะลงมาที่ 5% และ 4%ในไตรมาส 3/66”
อย่างไรก็ตามในช่วงที่เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยปรับตัว ตลาดหุ้นสหรัฐก็จะยังคงความผันผวน แต่สามารถจับจังหวะเข้าลงทุนได้ นายประภาส บอกว่าเมื่อเห็นสัญญาณในจุดที่เศรษฐกิจต่ำสุด เป็นจังหวะที่เข้าลงทุนได้ซึ่งก็น่าจะช่วงปลายปีนี้ เพื่อรับโอกาสเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นปี 2567
แม้ปี 66 ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียจะดูสดใสกว่า ฝั่งยุโรป สหรัฐ แต่การลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยง ภายใต้การเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ที่แกร่งทนต่อเศรษฐกิจชะลอ และเติบโตได้ดียามเศรษฐกิจฟื้น มีพื้นฐานดี โดยเฉพาะหุ้นเบรนด์เนม เป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน ทำกำไรต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่แบรนด์จะเป็นที่รู้จักทั่วโลก อีกกลุ่มก็จะเป็นบริษัทที่อยู่ในกระแสเมกะเทรนด์โลกรับโอกาสเติบโตต่อเนื่องแบบยาวๆ เหมาะกับการลงทุนในปี 2566 นี้
ซึ่งในส่วนของ บลจ.ทาลิส นั้น แนะนำ กองทุนเปิด MEGA 10 ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE และ NASDAQ ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) จากการจัดอันดับโดยสถาบันจัดอันดับตราสินค้า (Brand) ระดับสากล และคัดเลือกจากมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาด (Market Capitalization) และมีสภาพคล่องสูงสุด 10 บริษัทแรกโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
“บริษัทที่มีแบรนด์ชั้นนำระดับโลกจะมีกลุ่มลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์อย่างชัดเจน จึงมีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ สามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่ง มีผลทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่ดีกว่า ดังนั้น จึงเสมือนมีเกราะป้องกันแรงกระแทกจากผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอย” นายประภาสกล่าว
กองทุนเปิด เอ เอฟ ยูเอส ไวท์ โมด เฮดจ์ ชนิดสะสมมูลค่า (AFMOAT-HA) กองทุนรวมต่างประเทศเน้นลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นการลงทุนในกองทุน VanEck Morningstar Wide Moat ETF (MOAT) โดยธีม MOAT มีความน่าสนใจ ตรงที่ Moat หมายถึงบริษัทนั้นมีคูเมืองรอบป้อมปราการที่สามารถป้องกันตนเอง ทำให้สามารถดำรงความได้เปรียบทางธุรกิจจากคู่แข่ง ซึ่งตามปกติธุรกิจที่มีผลกำไรสูงจะดึงดูดให้เกิดคู่แข่งขันทางธุรกิจและในที่สุดผลกำไรจะลดลง แต่บริษัทที่มีคุณสมบัติตาม Moat จะสามารถป้องกันตัวเองจากคู่แข่งขันได้ และสามารถดึงระยะเวลาที่ผลกำไรจะลดลงออกไปได้
และ กองทุนเปิด ทาลิส หุ้นยูเอส เอ็นดีคิว-เฮดจ์ (TLUSNDQ-H) ลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี แนวโน้มอัตราการเติบโตสูงผ่านดัชนี NASDAQ-100 ซึ่งเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีอัตราการเติบโตสูงคือ กลุ่มหุ้นนวัตกรรม ที่ยังคงเป็นกลุ่มขับเคลื่อนให้ผลตอบแทนของดัชนีอยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มบริการ เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังมีรายได้ที่มาจากภูมิภาคอื่นนอกประเทศสหรัฐในสัดส่วนที่สูง การลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวจึงเป็นการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่จะส่งผลต่อวิถีชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนไปของโลกในอนาคตที่มิใช่เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา