ไทยเปิดคลิป PMN-2 เวทีออตตาวา จี้สอบทุ่นระเบิดชายแดนกัมพูชา

ไทยเดินเกมเชิงรุกเวทีออตตาวา เปิดหลักฐาน PMN-2 จี้กัมพูชารับผิดชอบทุ่นระเบิดชายแดน
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 (22MSP) ณ สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา มีการบรรจุวาระสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ตามคำร้องขอของไทย หลังช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนหลายครั้ง จนมีทหาร 7 นายต้องสูญเสียขา และสร้างความหวาดกลัวให้กับชุมชนในพื้นที่ชายแดน
คำแถลงของไทย เน้นไม่ให้มีเหยื่อรายใหม่
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวต่อที่ประชุมในวาระพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา โดยย้ำว่า รัฐภาคีให้คำมั่นตั้งแต่ปี 2540 ว่าจะยุติความทุกข์ทรมานจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อาวุธที่โจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมายไม่อาจอ้างความชอบธรรมได้
เขาระบุว่า ไทยไม่ได้ต้องการยกระดับความตึงเครียดหรือทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ แต่เมื่อมีทหารไทยบาดเจ็บซ้ำๆ จากเหตุทุ่นระเบิดในดินแดนไทย รัฐบาลไทยย่อมมีหน้าที่ต้องปกป้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ของตน พร้อมชี้ว่าหลักฐานที่ไทยรวบรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นการ “วางใหม่” ไม่ใช่ทุ่นที่ตกค้างในอดีต
ไทยอ้างอิงผลประเมินจากกลไกตรวจสอบที่เป็นอิสระ รวมถึงคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observation Team – AOT) ซึ่งลงพื้นที่ฝั่งไทยและสรุปว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ที่เกี่ยวข้องกับเหตุบาดเจ็บทหารไทยเป็นทุ่นที่เพิ่งถูกติดตั้งในช่วงความขัดแย้งระยะหลัง ไม่ใช่ทุ่นเก่าที่ฝังมานาน
รัฐมนตรีต่างประเทศระบุว่า นี่ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีตามข้อ 1 ของอนุสัญญาอย่างชัดเจน และขัดกับหลักมนุษยธรรมที่เป็นหัวใจของข้อตกลงฉบับนี้ จึงจำเป็นต้องใช้กลไกตามข้อ 8 อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เพื่อขอคำชี้แจงจากกัมพูชา หลังจากไทยพยายามใช้ช่องทางทวิภาคีและกลไกที่มีอยู่แล้ว แต่คำตอบที่ได้รับยังขัดแย้งกับพยานหลักฐาน และมีรูปแบบของข้อมูลที่ไทยมองว่าเป็นการบิดเบือนซ้ำๆ แม้ทั้งสองฝ่ายจะเพิ่งลงนามแถลงการณ์ร่วมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ไปเพียงสองสัปดาห์ ก่อนจะเกิดเหตุระเบิดอีกครั้ง
ไทยเสนอให้เลขาธิการสหประชาชาติใช้อำนาจตามตำแหน่ง อำนวยความสะดวกจัดตั้ง “คณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระ” เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยปราศจากแรงจูงใจทางการเมือง มองว่าเป็นทางออกที่ยุติธรรม โปร่งใส และรักษาความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาในระยะยาว
ผู้แทนไทยโชว์คลิป–สไลด์จากโทรศัพท์ทหารกัมพูชา
ภายหลังการถกเถียง ประธานที่ประชุมเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายใช้สิทธิชี้แจงคนละสองครั้ง นางสาวอุศณา พีรานนท์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ใช้สิทธิครั้งแรกโดยนำส่วนหนึ่งของหลักฐานที่ไทยรวบรวมมาแสดงต่อที่ประชุม
เอกอัครราชทูตไทยนำเสนอเป็นสไลด์และวิดีโอ 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. ภาพการเก็บโทรศัพท์ในจุดเกิดเหตุ
ระบุว่าเป็นภาพจากพื้นที่ฐานพลาญยาว จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารไทยพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชาในบริเวณที่เกิดเหตุระเบิด
2. วิดีโอฝึกวางทุ่นระเบิด PMN-2
เป็นคลิปที่ถูกอธิบายว่าบันทึกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 แสดงให้เห็นทหารกัมพูชากำลังได้รับการฝึกเกี่ยวกับการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ไม่ใช่การเก็บกู้
3. ภาพถ่ายขณะติดตั้งทุ่นระเบิด PMN-2
เป็นภาพที่บันทึกในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เวลา 14.32 น. แสดงทหารกัมพูชากำลังวางทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งไทยระบุว่าภาพและข้อมูลถูกดึงจากบัญชี Telegram ของเจ้าของโทรศัพท์ และผ่านการวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์จนสามารถยืนยันตัวบุคคลในภาพได้
ไทยย้ำในที่ประชุมว่า เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงไม่เปิดเผยชื่อเจ้าหน้าที่ในที่สาธารณะ แต่เอกสารหลักฐานทั้งหมดรวม 108 หน้าได้ส่งมอบอย่างเป็นทางการต่อเลขาธิการสหประชาชาติแล้ว พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากใช้อาวุธโจมตีดินแดนไทยก่อน รวมถึงการใช้จรวด BM-21 เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง
เมื่อฝ่ายไทยฉายวิดีโอและสไลด์ กัมพูชาประท้วงโดยเห็นว่าการชี้แจงควรใช้เพียงถ้อยคำ ไม่ควรแสดงภาพและคลิป แต่ประธานการประชุมชี้แจงว่า ข้อจำกัดมีเฉพาะรูปแบบการตอบโต้ ไม่ได้ห้ามเนื้อหาประเภทภาพหรือวิดีโอ จึงให้ไทยชี้แจงต่อ
กัมพูชาปฏิเสธวางทุ่นใหม่–ขอทีมสอบสวนร่วม
ฝั่งกัมพูชามีทั้งตัวแทนนโยบายและฝ่ายเทคนิคออกมาตอบโต้ นาย ลี ธุช รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานองค์การกำจัดทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAA) ระบุว่า กัมพูชาเสียใจกับการบาดเจ็บของทหารไทย แต่ยืนยันว่าข้อกล่าวหาเรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ “ยังไม่มีการพิสูจน์” อย่างเป็นระบบ
เขาตั้งคำถามว่าทำไมไทยจึงยกหลักฐานขึ้นเวทีระหว่างประเทศโดยไม่ปรึกษาหารือหรือประสานกันล่วงหน้า มองว่าเป็นการบั่นทอนจิตวิญญาณของความร่วมมือภายใต้อนุสัญญา มากกว่าจะใช้ประโยชน์จากกลไกที่สองประเทศตกลงกันไว้
เลขาธิการ CMAA เสนอประเด็นหลัก 3 ข้อ ได้แก่
- กัมพูชายังไม่ได้รับรายงานฉบับเต็มจาก AOT ฝั่งไทย และต้องการให้รวมข้อมูลจาก AOT ทั้งสองฝ่ายเข้ามาประกอบกัน
- ปัจจุบันมี AOT แยกกันปฏิบัติในไทยและกัมพูชา แต่ไม่เคยมีภารกิจร่วมกัน ทำให้มุมมองยังไม่สมบูรณ์
- ยังไม่มีการตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ จึงควรมีการสอบสวนร่วมที่ให้ไทย กัมพูชา และ AOT ทั้งสองชุด รวมถึงผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เข้าร่วมตรวจสอบ เพื่อให้ได้มาตรฐานสากล
ในวงประชุม นายดารา อิน เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ใช้สิทธิชี้แจงเพิ่มเติม โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาของไทยและโต้ว่า หลักฐานที่ไทยนำเสนอ “ยังไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ หรือการตรวจสอบจากคณะอิสระ” จึงมองว่ายังขาดความเป็นกลาง พร้อมแสดงความกังวลว่า การนำเรื่องขึ้นเวทีรัฐภาคีอาจทำให้กระบวนการไกล่เกลี่ยที่มีประเทศที่สาม เช่น สหรัฐฯ และมาเลเซีย ช่วยประสาน ต้องล่าช้าออกไป
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายดาราไม่สามารถกล่าวถ้อยแถลงได้จนครบตามที่เตรียมไว้ เนื่องจากพูดเกินเวลาที่กำหนด 2 นาที ทำให้ประธานการประชุมตัดไมโครโฟน
ไทยย้ำใช้กลไก UN–ไม่ให้อนุสัญญาไร้น้ำหนัก
ในช่วงตอบโต้รอบที่สอง นางสาวอุศณา ระบุว่า ข้อเสนอของกัมพูชาเองที่อยากเห็นกลไกสอบสวนที่น่าเชื่อถือ เป็นเหตุผลเดียวกับที่ไทยร้องขอให้เลขาธิการสหประชาชาติใช้อำนาจตามข้อ 8 เพื่อจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระ หากกัมพูชามีความสุจริตใจและโปร่งใส ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ไม่เห็นด้วยกับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงร่วมกัน
ผู้แทนไทยยืนยันว่า ไทยเปิดพื้นที่ให้บุคคลที่สามเข้ามาตรวจสอบแล้ว ทั้งองค์กรรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด (ICBL) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบทวิภาคีไทย–กัมพูชา โดยมีทูตทหารมาเลเซียเป็นหัวหน้าคณะ ร่วมกับตัวแทนจากสิงคโปร์และบรูไน ลงพื้นที่ตรวจสอบ
ในรายงานของ AOT ที่ถูกอ้างถึงในที่ประชุม ได้สรุปภารกิจว่า เป็นการตรวจพิสูจน์ว่าทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บเป็นทุ่นที่ถูกวางใหม่ หรือเป็นทุ่นเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาระบุ ผลการสังเกตการณ์ตลอดช่วงความขัดแย้งตามแนวชายแดนทำให้คณะผู้สังเกตการณ์ระบุว่า เหตุระเบิดทั้งหมดเกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ที่ “ถูกวางใหม่” ทั้งสิ้น
สีหศักดิ์ชี้ไทยเริ่ม “นับหนึ่ง” ตั้งคณะสอบข้อเท็จจริง
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสีหศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สรุปภาพรวมว่า การเดินทางมาร่วมประชุมด้วยตนเอง เป็นการแสดงให้เห็นว่าไทยให้ความสำคัญกับชีวิตทหารและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดชายแดน
เขาระบุว่า ไทยอดทนรอมานาน และได้ดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาแล้ว ทั้งการขอคำชี้แจงอย่างไม่เป็นทางการและผ่านช่องทางทวิภาคี แต่คำตอบจากกัมพูชายัง “ฟังไม่ขึ้น” และไม่เคยชี้แจงต่อกรณีเหตุระเบิดทั้ง 7 ครั้งอย่างชัดเจน ในขณะที่คำอธิบายส่วนใหญ่ยังยืนยันว่าเป็นทุ่นเก่าและกล่าวหาว่าไทยยั่วยุ
รัฐมนตรีต่างประเทศย้ำว่า ขั้นต่อไป ไทยจะเดินหน้าตามบทบัญญัติข้อ 8 เพื่อให้เลขาธิการสหประชาชาติหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ช่วยประสานจัดตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระที่มีผู้เชี่ยวชาญและไม่เข้าข้างฝ่ายใด ซึ่งหากจัดตั้งได้ ทั้งไทยและกัมพูชาต้องให้ความร่วมมือเต็มที่
สำหรับข้อเสนอของกัมพูชาที่อยากตั้งคณะสอบสวนร่วม นายสีหศักดิ์มองว่า เป็นพัฒนาการที่ต้อง “เปิดใจกว้าง” รับฟัง แต่ยอมรับว่ายังไม่ชัดเจนว่ามีเจตนาซื้อเวลาหรือไม่ ทั้งสองฝ่ายจึงยังต้องหารือรายละเอียดต่อไป ว่าจะทำให้สอดคล้องกับกรอบที่ไทยเสนอผ่านกลไกสหประชาชาติได้อย่างไร
เขาทิ้งท้ายว่า โดยภาพรวมไทยพอใจกับสิ่งที่ได้ทำในเวทีระหว่างประเทศครั้งนี้ แต่ย้ำว่ากัมพูชายังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บทั้ง 7 ครั้ง พร้อมยืนยันจุดยืนว่า เป้าหมายสูงสุดคือ “ไม่ให้มีทุ่นระเบิดใหม่ ไม่ให้มีเหยื่อรายต่อไป และไม่ให้กฎกติกาที่คุ้มครองประชาชนอ่อนแอลง”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
