สวัสดีท่านผู้อ่านครับเมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้ไปเจอบันทึกเล่มหนึ่งสมัยเรียนมัธยม เป็นเรื่องราวบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตสมัยเรียนในช่วงมัธยมยุค90ก็ว่าได้ โดยเรื่องที่นำมาเล่าก็คัดสรรมาจากสมุดบันทึกเล่มนั้น นำมาเรียบเรียงใหม่ ทั้งนี้เผื่อท่านผู้อ่านท่านใดที่ผ่านมาเห็นบทความนี้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เขียน (Since 1987)หรืออาจจะอายุน้อยกว่า ผ่านมาอ่านบทความนี้เข้า ก็คงจะชวนให้รู้สึกและเห็นภาพตามที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในยุค90 ในสมัยนั้นได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรตามมาอ่านกันเลยครับรองเท้านันยาง ขณะนี้เป็นเวลา 4 โมงเย็น บนอาคารเรียนเริ่มร้างผู้คนผมกำลังทำเวรกับเพื่อนก่อนกลับบ้าน ส่วนเด็กคนอื่นๆกลับบ้านกันไปหมดแล้ว หลังจากทำความสะอาดห้องเรียนเสร็จขณะที่ผมกำลังจะนำขยะไปทิ้ง ภาพๆหนึ่งก็ปรากฎต่อหน้า ทำผมใจหายวาบ เมื่อกำลังสบตากับรองเท้านันยางสภาพเก่าเหมือนยางศูนย์เปอร์เซ็นต์คู่นั้นอย่างเศร้าใจ... “โอ้ว! รองเท้ากรูถูก”เทิร์น” ไปแล้วสินะ... ผมจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นการโดนโจรกรรมรองเท้าครั้งที่เท่าไหร่ ตลอดช่วงมัธยมเรื่องการโดนขโมยรองเท้าเหมือนเป็นเรื่องอยู่เหนือการควบคุม คนที่ทำการโจรกรรมรองเท้าชาวบ้านไปหรือบางคนเรียกมันว่า “เทิร์น” มักจะหายเข้ากลีบเมฆ ไม่สามารถจับมือใครดมได้ สำหรับผมในตอนนั้นผมยกเป็นความผิดของรองเท้านันยางโดยเป็นหนึ่งในเครื่องแบบที่นักเรียนทุกคนในโรงเรียนใส่กันหมดจนเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมเลยก็ว่าได้ ครั้งหนึ่งผมเลยลองคิดนอกกรอบจัดการซื้อรองเท้ายี่ห้อ FILA คู่ละเกือบพัน แต่ดันใส่ไปโรงเรียนได้แค่ครึ่งวันระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว... ทั้งที่ตัวผมเองก็มั่นใจว่าทั้งโรงเรียนคงไม่มีใครใส่ยี่ห้อนี้เหมือนผมถึงจะเหมือนก็คงไม่บังเอิญใส่ไซส์เดียวกันหรอกครับ ผมพยายามหามันอย่างสุดกำลังทั้งวันไม่เป็นอันเรียนใจมัวแต่คิดถึงรองเท้าว่าตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนนะ? ..ใครเป็นคนเอาไป? หรือเพื่อนจะแกล้งเอาไปซ่อนก็หาแล้วไม่เจอสักที่? ตอนนั้นความรู้สึกเหมือนโดนเจ้าที่โรงเรียนทำโทษที่คิดขบถออกนอกลู่นอกทางใส่รองเท้าไม่เหมือนเพื่อน "นี่แน่ะ!! เป็นไงเดินกลับบ้านเท้าเปล่าไปเลยเอ็ง!" จะว่าไปถึงวัฒนธรรมการใส่รองเท้านันยางอีกอย่างเราจะมีวัฒนธรรมการใส่แบบ “เหยียบส้น” กันอีกด้วย เหยียบเหมือนเป็นรองเท้าแตะนั่นล่ะครับ ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองเหนื่อยใจเสมอในการที่ต้องคอยออกมาห้ามปรามนักเรียนเมื่อพบเห็นนักเรียนใส่รองเท้าเหยียบส้นในกันในโรงเรียน สาเหตุที่ใส่แบบนั้นเพราะตอนเข้าห้องมันไม่ต้องมาก้มใส่ให้เมื่อไงครับ แค่สอดเท้าเข้าไปก็จบปิ๊ง... บางคนกลัวรองเท้าหายก็จัดแจงทำสัญลักษณ์เขียนชื่อตัวเองไว้ในพื้นรองเท้าด้านใน ซึ่งไอ้ปากกาที่เขียนดันเป็นปากกาเมจิกซึ่งเวลาเราใส่สีปากากาก็จะติดกับถุงเท้าเปื้อนกลับบ้านให้คุณแม่ปวดใจตลอดเพราะสีของปากกาจะไปตกใส่ผ้าตัวอื่นอีกด้วย อีกทั้งเจ้ารอยปากกานี้ก็อยู่ได้ไม่นานมันก็จะจางหายไปต้องเติมใหม่แทบทุกอาทิตย์ แต่ปัญหาคือพอคนที่ขโมยไปใส่เราก็ไม่เห็นชื่อของเราด้านในพื้นรองเท้าอยู่ดีจะขอดูก็กลัวจะมีเรื่องกันอีก..เฮ้อ สำหรับผมรองเท้านันยางนั้นสนิทกับเรามากกว่าเพื่อนเสียอีกอยู่ด้วยกันไม่ต่ำกว่าวันละ 9 ชั่วโมง มันถูกใช้งานอย่างสมบุกสมบัน ไม่ว่าจะใช้เล่นกีฬา ใช้เรียนวิชาพละ ใส่จีบหญิง ใส่ชกกับเพื่อน ใส่โดดเรียน ฯลฯ เราใส่มันจมหมดสภาพจริงๆเราถึงทิ้งเปลี่ยนคู่ใหม่ แต่บางคนแทนที่จะบอกผู้ปกครองให้ซื้อคู่ใหม่ให้ กลับใช้วิธีการช่วยผู้ปกครองประหยัดทุนทรัพย์ โดยใช้วิธีการ “เทิร์น” รองเท้าของคนอื่นไปดื้อๆโดยทิ้งรองเท้าคู่เก่าคู่นั้นให้เจ้าของใหม่ไว้ดูต่างหน้า... สรุปว่าเย็นวันนั้นผมต้องกลับบ้านพร้อมนันยางคู่เก่าคู่นั้นที่มีคนมา “เทิร์น”ทิ้งไว้ให้ผม ขณะเดินจากอาคารเรียนกำลังจะกลับบ้าน ภาพที่ผมเห็นคือ รปภ.กำลังเดินตรวจตราโรงเรียนอย่างอารมณ์ดี ...เด็กผู้ชาย4-5คนยังคงเตะฟุตบอลกันในสนาม ...ลมยามเย็นพัดโชยมา หมดไปอีกวัน ผมก้มมองรองเท้านันยางเก่าคู่นั้น พลางคิดถึงเจ้าของเก่าของมัน ...ผมยิ้มมุมปากเล็กๆ พลางคิดในใจว่า “อย่าให้กรูเจอนะเมิงงงง!!” ภาพประกอบเรื่องและภาพประกอบปกโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !