สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคน พบกับโลลิอีกแล้วนะคะ เพื่อนๆ เคยสงสัยมั้ยคะว่า ทำไมข่าวลือนั้น ทั้งๆ ที่เป็นแค่ข่าวปลอมๆ ไม่มีข้อเท็จจริงอยู่ในนั้น แต่ทำไมมันกลับไม่เคยตายไปจากโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนยังเลือกที่จะเชื่อข่าวลือมากกว่าความเป็นจริงเสียอีก ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ข่าวลือก็ยังคงอยู่ แถมมีอิทธิพลพอสมควรเลยด้วย โลลิเองก็สงสัยมาตลอดเหมือนกันค่ะ ดังนั้นโลลิจึงไปทำการหาคำตอบให้คำข้อสงสัยนี้ และโลลิก็ได้คำตอบที่น่าสนใจมาจึงอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆ ค่ะ ข่าวลือ (Fake News) มีมาตั้งแต่ยุคสมัยไหนๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อบุคคล องค์กร เศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ข่าวลือด้านลบในวงการบันเทิงที่ทำเอาดาราหลายคนเสียชื่อเสียง ข่าวลือที่มีผลต่อองค์กร อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1991 บริษัท Tropical Fantasy Soda ที่จำหน่ายน้ำอัดลมถูกข่าวลือโจมตีว่าเมื่อคนผิวสีดื่มน้ำอัดลมเข้าไปจะกลายเป็นคนผิวขาว ซึ่งข่าวนั้นไม่เป็นจริง ทำให้ยอดขายตกลงถึง 70%และคนผิวได้ทุบทำลายรถขนส่งแบรนด์ หรือแม้ข่าวลือที่มีผลต่อคนกลุ่มใหญ่อย่างกลุ่มมิจฉาชีพที่หาผลประโยชน์จากสังคม โดยอาศัยเหตุการณ์ชุลมุนปล่อยข่าวลือให้นักลงทุนเกิดความกลัวและไม่มั่นใจ แล้วมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดหุ้น ก่อนจะดันราคาขึ้นแล้วกอบโกยกำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง และยิ่งในยุคปัจจุบันที่โลกออนไลน์เป็นสิ่งสิ่งที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ทำไห้การแพร่กระจายของข่าวลือ หรือการรับรู้ข่าวสารในทุกๆ วันยิ่งง่ายขึ้น ในเมื่อข่าวลือสามารถส่งผลเสียได้มากมายขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมคนถึงยังเลือกที่จะเชื่อข่าวลือมากกว่าล่ะ? โลลิขอยกตัวอย่าง 4 ข้อ ดังนี้ ข่าวปลอมส่วนใหญ่เป็นข่าวที่ปลุกเร้าอารมณ์ได้ดีกว่า เช่น อารมณ์โกรธ เกลียด ขยะแขยง ซึ่งบุคคลที่มีอารมณ์เหล่านี้ล้วนไม่อยากเก็บไว้คนเดียวพวกเขาจึงต้องหาทางระบายมันออกมา ซึ่งนิสัยของมนุษย์จะรู้สึกดีมากขึ้นเมื่อมีคนเห็นด้วยกับเรา หรือมีอารมณ์ร่วมด้วย และเราจะสามารถให้คนอื่นรับรู้โดยการแชร์ข่าวนั้นๆ และคนก็เลือกที่จะเชื่อมากกว่าข่าวแท้ที่ไม่ได้มีความตื่นเต้น และเป็นไปตามความจริงที่เรารู้กันอยู่แล้ว ข่าวที่มาจากคนใกล้ตัว เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน เพื่อนสนิท มักน่าสนใจ จึงมีผลต่อความเชื่อมากว่าเสมอ เพราะเราและคนใกล้ตัวเราอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน และตามธรรมชาติเรามักเชื่อเพื่อนก่อนเสมอ มนุษย์เรามี ‘Cognitive Filter’ หรือ ตัวกรองการรับรู้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่สั่งสมมาในชีวิต แต่มันจะลดลงเมื่อข่าวสารที่เรารับรู้นั้นมาจากคนใกล้ชิด สนิทสนม ทำให้เรามองข้ามความน่าเชื่อถือไป มนุษย์มักจะมองหาหลักยึดที่ปลอดภัยเพื่อให้เกิดความสบายใจอยู่เสมอ งานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Applied Cognitive Psychology ได้บอกไว้ว่า คนที่มักเชื่อข่าวลือมีองค์ประกอบคล้ายกันคือ พวกเขาไม่มีความมั่นใจในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคม รู้สึกล้วนเป็นภัย ขาดความมั่นคงในการทำภารกิจให้ลุล่วง จนรู้สึกไม่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ คนเรามักตัดสินใจโดยใช้ทางลัดด้านระบบความคิด หรือ Heurtristic เช่น เมื่อเราเห็นคนที่เรานับถือ หรือชื่นชอบ ก็มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเชื่อและแชร์ตาม เพราะเราคิดว่า บทความจากคนนี้จะต้องเป็นจริงและเชื่อได้แน่ๆ และนี่คือสาเหตุที่มนุษย์เราเลือกที่จะเชื่อข่าวลือมากกว่าความเป็นจริง ฮั่นแน่ บอกมาซิว่าเพื่อนๆ เป็นแบบนี้กันเปล่าาา โลลิยอมรับเลยนะคะว่า โลลิเองก็เป็น แหะๆ มันเป็นโดยไม่รู้ตัวอ่ะ แงงง แต่ไม่เป็นไรค่าาา ในเมื่อรู้สาเหตุแล้วก็จะสามารถทำให้เราตระหนักรู้และมีวิจารณญาณมากขึ้นในเรื่องของการเชื่อข่าวสารต่างๆ และคิดก่อนแชร์มากขึ้น เพื่อไม่ไปทำลายชื่อเสียงของใคร หรือไปก่อความชุลมุนวุ่ยวายในสังคมเนอะ ^^ และนี่ก็เป็นความรู้อันน่าสนใจ (น่าสนใจจริงๆ รึเปล่าไม่รู้ แต่โลลิสนใจ ฮ่าๆ) เล็กๆน้อยๆ ที่อยากมาแชร์ หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบบทความของโลลิกันนะคะ วันนี้โลลิคงต้องขอตัวลาไปก่อน และพบกันใหม่นะคะ สวัสดีค่า ^^ By. Loli