รีเซต

WHO ผลักดันโลกเร่งเปิดเจรจา “สนธิสัญญาโรคระบาด” ระหว่างประเทศ

WHO ผลักดันโลกเร่งเปิดเจรจา “สนธิสัญญาโรคระบาด” ระหว่างประเทศ
TNN World
2 มิถุนายน 2564 ( 09:45 )
73
WHO ผลักดันโลกเร่งเปิดเจรจา “สนธิสัญญาโรคระบาด” ระหว่างประเทศ

WHO: องค์การอนามัยโลกระบุ ถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องเร่งเปิดเจรจาทำ “สนธิสัญญาโรคระบาด” ระหว่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินด้านโรคระบาดในอนาคต

 

 

นายแพทย์ เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก หรือ WHO กล่าวเมื่อวานนี้ (31 พฤษภาคม) ว่า ถึงเวลาแล้ว ที่โลกควรจะเริ่มเปิดการเจรจาภายในปีนี้ เพื่อบรรลุสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่เรียกง่าย ๆ ว่า “สนธิสัญญาโรคระบาด” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเตรียมพร้อม และการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับโรคระบาดในอนาคต

 

 

ผู้อำนวยการ WHO กล่าวต่อที่ประชุมประจำปีของ WHO ในวันสุดท้าย (31 พฤษภาคม) ที่มีรัฐมนตรีสาธารณสุขจากทั่วโลก เข้าร่วมการประชุมเป็นเวลานาน 1 สัปดาห์

 

 

เทดรอส ระบุด้วยว่า การบรรลุสนธิสัญญาโรคระบาด เป็นส่วนสำคัญของการปฏิรูปองค์กรของ WHO ขนานใหญ่ ตามที่ชาติสมาชิกเรียกร้องต้องการ เขาเชื่อว่า การบรรลุสนธิสัญญาโรคระบาด จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ WHO และต่อเสถียรภาพทางสุขภาพของโลก

 

 

อย่างไรก็ตาม การเจรจาเพื่อบรรลุสนธิสัญญาโรคระบาดระหว่างประเทศนี้ น่าจะเป็นเส้นทางที่ยาวไกล เห็นได้จากการเจรจา “กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ” ของ WHO ซึ่งนับเป็นสนธิสัญญาด้านสาธารณสุขฉบับแรกของโลก ใช้เวลาเจรจานาน 4 ปี กว่าจะบรรลุสนธิสัญญาในปี 2003

 

 

WHO กำลังสะเทือนหนักหลังถูกดันให้ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ เพื่อให้สามารถรับมือโรคระบาดในอนาคตได้ดีกว่านี้ และยังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า รับมือกับการระบาดของโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลกอย่างไม่ทันท่วงที

 

 

ขณะนี้ มี 60 ประเทศแล้วที่สนับสนุนการเจรจาทำสนธิสัญญาโรคระบาด โดยชิลีระบุในฐานะตัวแทนของ 60 ประเทศดังกล่าวว่า การทำสนธิสัญญาโรคระบาด คือการรับฟังเสียงของบรรดาผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ที่เรียกร้องให้เรากดปุ่มรีเซ็ทระบบการรับมือกับโรคระบาดในอนาคต

 

 

หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่ประจำปีของ WHO สิ้นสุดลงเมื่อวานนี้ (31 พฤษภาคม) แล้ว รัฐมนตรีสาธารณสุขจาก 194 ชาติสมาชิก WHO จะพบกันอีกครั้งในวันที่ 29 พฤษจิกายน ปลายปีนี้ เพื่อตัดสินใจว่า จะเริ่มเปิดการเจรจาการทำสนธิสัญญาโรคระบาดระหว่างประเทศหรือไม่

 


—————
ภาพ: Reuters

ข่าวที่เกี่ยวข้อง