สองพี่น้องเจ้าของบ่อปลาร้องกองปราบ น้องถูกรุมยำโคม่านาน คดีไม่คืบ
เมื่อเวลา 9.30 น. วันที่ 15 กรกฎาคม ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พา นายภัทรพล ตรีเดชา อายุ 27 ปี และนายภานุพงษ์ ตรีเดชา อายุ 30 ปี สองพี่น้องเจ้าของบ่อปลาที่ จ.นครปฐม เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.หญิง สาวิตรี วานิจัง รอง สว.(สอบสวน)กก.5 บก.ป. เพื่อยื่นหนังสื่อขอความเป็นธรรม ต่อ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ภายหลังเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายภัทรพลถูกวัยรุ่นในสถานบันเทิงใกล้ สภ.ดอนตูม จ.นครปฐม ทำร้ายร่างกายจนโคม่านาน 8 วัน และเข้าแจ้งความแล้วแต่คดีไม่มีความคืบหน้า และนำหลักฐานเป็นคลิปจากกล้องหน้ารถของพลเมืองดีที่บันทึกภาพขณะเกิดเหตุรุมทำร้ายโดยมี
นายภัทรพลเปิดเผยว่า คืนวันเกิดเหตุได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งใน จ.นครปฐม ยอมรับว่าตนดื่มสุรา และมึนเมาเล็กน้อย โดยขณะที่กำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็พบกับกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งพูดคุยกันเสียงดัง ตนเองจึงเตือนไปว่าให้เบาะเสียงลง จากนั้นตนเองก็ถูกน้องอีกคนรีบลากกลับไปที่โต๊ะ เพราะกลัวจะมีเรื่อง แต่วัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวได้เดินมาล็อกคอ ตบ ต่อย กระทืบตนเอง จนการ์ดของสถานบันเทิงต้องเข้ามาช่วยห้าม จากนั้นน้องและพี่ชายก็รีบพาตนออกไปขึ้นรถที่อยู่นอกร้านเพื่อกลับบ้าน แต่กลับถูกวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวตามมากระทืบจนหมดสติ ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและมีเลือดคั่งในสมอง มีอาการโคม่านาน 8 วัน เกือบต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ซึ่งส่วนตัวก็สงสัยว่าที่คดีล่าช้าเพราะมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังหรือไม่
ด้านนายภานุพงษ์ กล่าวว่า หลังจากที่เห็นน้องชายถูกกระทืบหมดสติอยู่ท้ายรถ และผู้ก่อเหตุกว่า 10 คนก็ยังไม่หยุด ยังมีการจับน้องขึ้นมาทำร้ายต่อ ตนไม่รู้จะทำอย่างไร ตะโกนบอกให้หยุดก็ไม่เป็นผล จึงไปหยิบปืนที่เก็บไว้ในรถ ออกมายิงขึ้นฟ้า 1 นัด เพื่อหวังจะห้ามปราม ไม่ได้มีการเล็งใส่ใคร และไม่ได้มีเจตนาจะหาเรื่องหรือทำร้ายใคร ส่วนปืนเป็นปืนของพ่อที่ตนเองขอโอนมาเพื่อใช้ดูแลธุรกิจบ่อปลาที่ จ.นครปฐม แต่ที่บ่อปลาไม่มีที่เก็บ จึงต้องเก็บไว้ในรถ ยอมรับว่าไม่มีใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนแต่อย่างใด และได้ยิงปืนจริง ที่ตำรวจแจ้งข้อหาตนเรื่องพกพาอาวุธปืนนั้นไม่ติดใจอะไร แต่ติดใจคดีของน้องชายที่ไม่คืบหน้าและอยากให้ผู้ก่อเหตุทั้งหมดออกมารับผิดชอบ
นายภานุพงษ์ กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุ คู่กรณีได้ติดต่อผ่านคนกลางมาหลายครั้ง ทางครอบครัวก็เรียกค่าเยียวยาไป เริ่มแรก 1 ล้านบาท เพราะขณะนั้นน้องชายนอนเป็นเจ้าชายนิทรา อาการไม่ดีขึ้น แต่เมื่อน้องอาการดีขึ้น ก็มีการลดเงินเยียวยาลงจนล่าสุดเรียกไปที่ 3 แสนบาท เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกันอีก แต่คู่กรณีก็ยังเงียบ จึงอยากให้ตำรวจดำเนินคดี
ด้านนายรณณรงค์ กล่าวว่า คดีนี้หลังได้คลิปกล้องหน้ารถจากพลเมืองดี ที่ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุมีมากกว่า 10 คน แต่เจ้าหน้าที่ยังยืนยันจะดำเนินคดีเพียง 1-2 คนเท่านั้น เพราะผู้ก่อเหตุที่เหลือภาพไม่ชัดเจน จึงนำหลักฐานมาร้องต่อ บช.ก. แทน เพราะติดใจเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจท้องที่และความล่าช้าของคดีที่ผ่านมา 2 เดือน แต่เพิ่งจะมีเลขคดี และเพิ่งจะจับตัว 1 ในผู้ก่อเหตุได้เมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งภาพจากกล้องหน้ารถที่ได้มา พ่อของผู้เสียหายก็หามาเอง ส่วนตำรวจไม่มีความคืบหน้าเรื่องการหาพยานหลักฐานแต่อย่างใด
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับเรื่องไว้ ก่อนเสนอผู้บังบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป