รีเซต

บล.พายเพิ่มเป้า SCB เป็น 123 บ. ลด KBANK เหลือ 160 บ.- แนะ “ซื้อ” KTB ลดเป้าเหลือ 23.80 บ.

บล.พายเพิ่มเป้า SCB เป็น 123 บ. ลด KBANK เหลือ 160 บ.- แนะ “ซื้อ” KTB ลดเป้าเหลือ 23.80 บ.
ทันหุ้น
22 ตุลาคม 2567 ( 10:59 )
5

 

#KTB #ทันหุ้น – ภายหลัง 3 ธนาคารใหญ่ KTB, KBANK และ SCB แจ้งผลการดำเนินงานวานนี้ (21 ต.ค.) บล.พายได้มีการปรับเปลี่ยนคำแนะนำ และปรับเปลี่ยนราคาเหมาะสมของหุ้นดังนี้

 

SCB : โดดเด่นในการจ่ายเงินปันผลสูง

บล.พายคงคำแนะนำ "ถือ" SCB มูลค่าพื้นฐาน 123 บาท (เดิม 120 บาท) และคาดจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในกลุ่มธนาคารที่ 8.7% ในปี 2567 (หักเงินปันผลระหว่างกาลเหลือ 5.5%) และให้เพิ่มเป็น 8.9%/9.4% ในปี 2568-69 ถือเป็นจุดเด่นในการลงทุน แม้ SCBX จะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยลดลง โดยประเมินว่าทุก 100 bps ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะกระทบต่อ NIM ลดลง 25-30 bps แต่ด้วยการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดี ทำให้บล.พายปรับคาดการณ์กำไรปี 2567-69 เพิ่มขึ้น 2-4% โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 4.3% ในปี 2567 และฟื้นกลับมาขยายตัว 2.2%/5.8% ในปี 2568-69 ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 10.9 พันลบ. (+13.2% YoY, +9.3% QoQ) คุณภาพสินเชื่อทรงตัว NPL ratio เพิ่มเล็กน้อยที่ 3.4% เเละ Coverage ratio เพิ่มเป็น 163.9%

 

KBANK : สินเชื่อชะลอตัว และ NIM ลดลงกดดันกำไร

บล.พายปรับคำแนะนำ KBANK เป็น "ถือ" และลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 160บาท (เดิม 178 บาท) บล.พายมองว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนจำกัด หลังจากมองว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยลดลงส่งผลต่อ NIM ลดลงมากกว่าคาด 5-10 bps ในปี 2568-69กอปรกับสินเชื่อที่ชะลอตัวทำให้คาดว่าการเติบโตของกำไรจะชะลอตัวลงเหลือ 1.5%/5.5% ในปี 2568-69 จากคาดว่าจะเติบโต 10.5% ในปี 2567 นอกจากนี้ ด้วยการเติบโตกำไรที่ชะลอตัว บล.พายมองว่า ROE จะลดลงจาก 8.6% ในปี 2567เหลือ 8.3% ในปี 2568-69และมองว่าเป็นเรื่องท้าทายที่ KBANK จะบรรลุเป้าหมาย ROE ที่ 2 หลักในปี 2569ด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 ออกมาตามคาดที่ 12 พันล้านบาท (+6.1% YoY, -5.4% QoQ) โดย NPL ratio ทรงตัวที่ 3.2% เเละ Coverage ratio ลดลงเล็กน้อยที่ 150.7%

 

KTB : งบดุลแกร่ง ROE สูงสุดในกลุ่มธนาคารใหญ่

บล.พายคงคำแนะนำ "ซื้อ" ปรับมูลค่าพื้นฐานเหลือ 23.80 บาท (เดิม 24.00 บาท) โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 ออกมาที่ 11.1 พันล้าน (+8% YoY, -0.8% QoQ) งบดุลทรงตัว NPL ratio อยู่ที่ 3.1% และ Coverage ratio เเข็งแกร่งที่ 184.1% บล.พายมองว่า KTB จะยังคงโดดเด่นเหนือคู่แข่งในไตรมาส 4/67 ที่ปกติธนาคารส่วนใหญ่จะรายงานกำไรลดลง QoQ เพราะค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสูงขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล แต่การเติบโต YoY ของ KTB จะโดดเด่นกว่าคู่แข่งจากสำรองหนี้ฯ ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้กำไรในปี 2567 โตสูง 13% YoY แต่ด้วยวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงทำให้แนวโน้มกำไรจะเติบโตชะลอตัว บล.พายคาดว่ากำไรสุทธิขยายตัว 2.3%/5.8% ในปี 2568-69 และ ROE ปรับลดลงจาก 9.9% ในปี 2567 เหลือ 9.4% ในปี 2568-69 สูงสุดในกลุ่มธนาคารใหญ่

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง