อดีตนักการทูตมะกันเชื่อ เมียนมาเปิดกว้าง พร้อมทำงานกับโลก
นายบิล ริชาร์ดสัน อดีตนักการทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งผันตัวไปเป็นผู้แก้ปัญหาระดับโลก เชื่อว่า รัฐบาลทหารเมียนมาเปิดกว้างที่จะทำงานร่วมกับโลกเรื่องการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม และในประเด็นอื่นๆ ที่มากกว่านั้น
ริชาร์ดสันซึ่งเป็นอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติและผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก เดินทางเยือนเมียนมาและปรากฎภาพถ่ายของเขาในการพบปะหารือกับพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ผู้นำการยึดอำนาจและนายกรัฐมนตรีเมียนมา ผู้ซึ่งเพิ่งถูกอาเซียนปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมประชุมผู้นำเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ริชาร์ดสันให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีปฏิเสธคำประณามโดยนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมแสดงความหวังว่าการเยือนเมียนมาของเขาทำให้เกิดความก้าวหน้าบางอย่าง ซึ่งรวมถึงการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเมียนมา
“ผมมองในแง่บวก และผมหวังว่าเราได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าบ้างซึ่งอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ดีขึ้น ผมรู้สึกได้ว่าพวกเขาเปิดกว้างสำหรับการติดต่อที่มากขึ้น แต่ยอมรับมันไม่ใช่เรื่องง่าย”ริชาร์ดสันให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับถึงสหรัฐ
ริชาร์ดสันกล่าวว่า เขาได้รับเชิญจากกระทรวงต่างประเทศเมียนมาให้เดินทางไปเยือนเพื่อหาทางนำวัคซีนต้านโควิด-19 เข้าไป โดยเขาให้คำแนะนำให้เมียนมารับวัคซีนผ่านโคแวกซ์เบื้องต้น 2 ล้านโดส รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการส่งมอบอาหารไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักในชนบท
อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติกล่าวว่า เขาหวังว่จะสามารถบรรลุความตกลงให้สภากาชาดสากลสามารถเข้าไปเยี่ยมนักโทษที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักโทษการเมืองได้ หลังการเข้าเยี่ยมนักโทษถูกระงับไปเพราะโควิด-19
ริชาร์ดสันกล่าวถึงการพบปะกับพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลายว่า เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการถ่ายภาพร่วมกับมิน อ่อง ลาย แต่เขาก็คิดว่ามันคุ้มค่า เพราะทำให้เขาได้ตัวนายอาย โม ซึ่งทำงานให้กับศูนย์ริชาร์ดสัน ที่พุ่งเป้าไปยังการส่งเสริมศักยภาพของสตรี ที่กลายเป็นนักโทษซึ่งมีความสำคัญกับเขามากออกมา และยังทำให้มีความคืบหน้าเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม วัคซีนต้านโควิด รวมถึงเรื่องที่ขอให้สภากาชาดสากลเข้าเยี่ยมนักโทษได้
“ผมไม่ใช่รัฐบาล ไมได้เข้าไปเพื่อรับรองรัฐบาลใดๆ นั่นเป็นหน้าที่ของคนเมียนมาและเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ผมเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่พยายามทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเท่านั้น”ริชาร์ดสันกล่าว