บล.เมย์แบงก์ กำไร 66 ล. ลดลง 28% วอลุ่มเทรดหดหาย กระทบรายได้
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MST แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 มีกำไรสุทธิ 66.46 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.12 บาท ลดลง 28% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 91.73 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.16 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน 2566 มีกำไรสุทธิ 230.75 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.40 บาท ลดลง 38% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 373.33 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.65 บาท
บริษัทชี้แจงว่างวดไตรมาส 2/66 บริษัทมีกำไรสุทธิ 66.46 ล้านบาท ลดลง 25.27 ล้านบาท หรือลดลง ร้อยละ 27.55 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 91.73 ล้านบาท เนื่องจาก
1. รายได้ค่านายหน้าลดลง 133.82 ล้านบาท จาก 403.34 ล้านบาท เหลือ 269.52 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 33.18 เนื่องจาก
1.1 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 139.57 ล้านบาท จาก 364.56 ล้านบาท เหลือ 224.99 ล้านบาท หรือลดลงร้อย ละ 38.28 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 77,663.48 ล้านบาท/วัน เหลือ 49,964.13 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 35.67 และสัดส่วนนักลงทุนบุคคล ซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัทลดลงจากร้อยละ 39.43 เหลือร้อยละ 32.79 อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลลดลงจาก 30,620.24 ล้านบาท/วัน เหลือ 16,380.71 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 46.50
1.2 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 5.75 ล้านบาท จาก 38.78 ล้านบาท เป็น 44.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.83
2. รายได้ค่าธรมเนียมและบริการลดลง 15.13 ล้านบาท จาก 51.98 ล้านบาท เหลือ 36.85 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 29.11 เนื่องมาจาก ค่าธรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ลดลง 3.13 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาทางการเงินลดลง 13.03 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นลดลง 1.74 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าธรรมเนียมจากการขายและการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 2.77 ล้านบาท
3. รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 123.99 ล้านบาท จาก 180.84 ล้านบาท เป็น 304.83 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 68.56 เนื่องมาจาก รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้มเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 38.38 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากในสถาบันการเงินและพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น 34.61 ล้านบาท กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 38.57 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 12.43 ล้านบาท
4. ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 7.07 ล้านบาท จาก 520.20 ล้านบาท เป็น 527.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.36 เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 59.06 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 2.13 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานลดลง 38.46 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 4.49 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นลดลง 11.17 ล้านบาท
5. ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 6.74 ล้านบาท จาก 24.22 ล้านบาท เหลือ 17.48 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27.83 เนื่องมาจากการลดลงของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้
ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ลดลงจากผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27.55