สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับวันนี้ผู้เขียนมีเรื่องหลอนๆมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังกันครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วกับตัวผู้เขียนเอง สมัยผู้เขียนยังเป็นเด็กอาศัยอยู่บ้านในชนบท ส่วนเรื่องเล่าประสบการณ์หลอน “เสียงฝีเท้าในดงกล้วย” จะเป็นอย่างไรลองมาอ่านกันดูครับ ครอบครัวผมนั้นจะประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ผมและน้องหมาชื่อเจ้าหมีอีกหนึ่งตัว เจ้าหมีเป็นสุนัขพันธุ์ไทยบ้านๆที่เพื่อนพ่อให้ผมมาเลี้ยงตั้งแต่มันยังเล็ก เจ้าหมีจะคอยเป็นเพื่อนผมเวลาผมเดินไปไหนมาไหนนอกบ้านก็จะมีเจ้าหมีตามประกบเหมือนเป็นบอดี้การ์ดตลอด บ้านผมอยู่ในระแวกบ้านญาติพี่น้องทางฝั่งพ่อทั้งหมด โดยบ้านผมจะอยู่เป็นหลังสุดท้าย รอบบ้านรายล้อมไปด้วยสวนผลไม้ พ่อเลือกที่นี่เพราะแกบอกว่าตอนเด็กๆแกมาเดินเล่น แล้วเห็นว่าที่ตรงนี้อากาศดีลมเย็นสบาย ไม่วุ่นวายอยู่เพราะอยู่ท้ายสวน แกเลยขอปู่มาปลูกบ้านที่ตรงนี้ บ้านผมจะอยู่ค่อนข้างห่างจากบ้านญาติพอสมควร แต่ก็เดินไปมาหาสู่กันได้ จากปากทางเข้ามาต้องเดินผ่านสวนกล้วย สวนเงาะก่อนจะถึงบ้านผม สมัยก่อนแถวบ้านผมไม่มีไฟทาง เวลาไปไหนต้องอาศัยไฟฉายเป็นแสงนำทางไปในยามค่ำคืน แถวบ้านผมจะมีลูกพี่ลูกน้องที่รู้จักกันเป็นลูกของอา ทุกคืนวันศุกร์ 4ทุ่ม ผมกับเพื่อนๆเราจะมีนัดกันมาดูรายการผี หลังละครหลังข่าวจบ เนื่องจากวันถัดไปเป็นวันหยุด ผมจึงได้รับอนุญาตให้นอนดึกได้ โดยสถานที่ที่เรานัดกันดูรายการผีเป็นประจำคือที่บ้านของก๋ง ซึ่งห่างจากบ้านผมอยู่พอสมควร บ้านก๋งจะอยู่ใกล้ถนนในซอย แต่บ้านผมจะอยู่ในซอยท้ายสวน วิธีการที่ไปบ้านก๋งให้เร็วที่สุดคือการเดินลัดสวนกล้วย ทะลุสวนเงาะก็จะถึงบ้านก๋ง แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืนจะค่อนข้างหน้ากลัวเพราะทางที่เดินไปเต็มไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศวังเวงหน้ากลัว ปกติแล้วผมจะเดินไปกับพ่อและเจ้าหมีเพราะพ่อจะไปสังสรรกับพี่น้องแกทุกวันศุกร์ที่นั่นอยู่แล้ว ส่วนเจ้าหมีก็จะไปหาอาหารที่เค้าเหลือหลังงานเลิกกิน ผมเลยถือโอกาสตามแกไปด้วย ตอนกลับก็จะรอกลับพร้อมกัน คืนวันนั้นที่เกิดเรื่อง ผมเผลอนอนหลับไปช่วงหัวค่ำ ตื่นมาอีกทีก็3ทุ่มกว่าแล้ว รายการผีใกล้จะมาแล้ว ผมรีบรุกขึ้นตะโกนหาพ่อ แต่ปรากฎว่าพ่อผมออกไปบ้านญาติแล้ว ส่วนแม่ผมแกหลับอยู่ในห้อง มองหาเจ้าหมีก็ไม่อยู่มันคงออกไปกับพ่อตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ… ผมเริ่มลังเลว่าจะไปดีมั้ย? ถ้าไม่ไปก็จะโดนเพื่อนล้อว่าขี้ขลาดไม่กล้ามาคนเดียว แต่คิดถึงบรรยากาศทางไปก็อดกลัวไม่ได้ทั้งมืดทั้งวังเวง แถมไม่มีเพื่อนเดินไปด้วยอีกต่างหาก แต่แล้วผมก็ตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยวว่าจะไป เพื่อพิสูจน์ความกล้าให้เพื่อนๆเห็นว่าผมก็เดินมาเองคนเดียวได้ สบายๆ (แต่อีกใจก็ยังหวั่นๆ)ผมคว้าไฟฉาย เดินออกมาจากบ้านกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ระหว่างทางผมเดินร้องเพลงเสียงดังโวยวายไปตลอดทางเพื่อเอาเสียงเป็นเพื่อน เมื่อผมมาถึงบ้านก๋ง เพื่อนๆก็มากันครบแล้ว บรรดาญาติพี่น้องของพ่อยังคงนั่งสังสรรกันอยู่ ส่วนเด็กๆก็พร้อมเปิดรับความสยองขวัญสำหรับค่ำคืนนี้แล้ว โต๊ะที่เรานั่งดูทีวีกันจะเป็นโต๊ะตัวใหญ่ นั่งได้หลายคนแต่ข้อเสียคือโต๊ะจะมีร่องไม้มองเห็นพื้นด้านล่าง เวลาดูรายการผีจะเกิดอาการหลอน กลัวมีนิ้วมือยื่นจากร่องไม้ออกมาจับขา พอดูกันไปได้สักพักเด็กที่นั่งอยู่ข้างล่างก็จะขยับกันขึ้นมานั่งข้างบนโต๊ะนี้กันหมดด้วยความกลัวว่าจะมีอะไรมาจับขา กว่ารายการจะจบก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว บรรดาผู้ใหญ่ยังคงนั่งสังสรรกันต่อไปส่วนพวกเด็กๆอย่างเราก็เร่ิมง่วงได้เวลาแยกย้ายกันไปนอน เพื่อนๆผมบ้านจะอยู่ใกล้กับบ้านของก๋งเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านกันแล้ว แต่ปัญหาคือผม บ้านผมจะอยู่ไกลสุดและผมต้องกลับคนเดียวในคืนนี้เพราะด้วยความที่ตั้งใจดูรายการเลยไม่ได้สังเกตว่าพ่อผมกลับไปแล้ว ความซวยมาเยือนสมัยนั้นที่บ้านผมไม่มีโทรศัพท์จะโทรให้พ่อมารับก็ไม่ได้ เลยต้องตัดสินใจลุยเดี่ยวเดินกลับบ้านคนเดียวอย่างเช่นตอนมา ผมรวบรวมความกล้าคว้าไฟฉาย พร้อมหากปากร้องเพลงเสียงดังไปตลอดทางเช่นเดิมเหมือนขามา พลางก็บ่นในใจว่าพ่อว่า”ทำไมกลับไปถึงไม่บอกกันเลย”ปล่อยให้ผมต้องเดินกลับคนเดียว ตอนมายังไม่เท่าไหร่เพราะเรายังไม่ได้รับประสบการณ์ความหลอนจากรายการผี แต่หลังจากดูรายการผีจบความหลอนของผมก็พุ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ผมพยายามวิ่งไปให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุด เรียกว่าออกตัวแรงตั้งแต่ออกจากบ้านก๋งเลย ผมวิ่งผ่านสวนเงาะ จนมาหมดแรงเอาตรงสวนกล้วย คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย มีแสงจันทร์ส่องพอมองให้เห็นทาง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยเพราะ ภาพของต้นกล้วยที่สะท้อนกับแสงจันทร์ทำให้เกิดเงาไหวไปไหวมา เห็นแล้วสยองนึกว่าเป็นคนยืนอยู่เสียอีก ด้วยความที่ผมวิ่งเต็มเหนี่ยวมาตั้งแต่บ้านก๋ง ตอนนี้ทำเอาผมหมดแรง ผมจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อให้ผ่านดงกล้วยไปให้เร็วที่สุด ในระหว่างที่ผมเดินอยู่นั้น ผมได้ยินเสียง เหมือนเสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้แห้ง ดัง กรอบๆ อยู่ด้านหลัง ตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นเสียงลมพัดกิ่งไม้ แต่ว่าแถวนั้นไม่มีลมพัดมาเลยสักนิด แล้วอย่างนั้นจะเป็นเสียงอะไร ผมเดินไปด้วยคอยเงี่ยหูฟังไปด้วยเสียงนั้นจะมาๆหายๆเป็นช่วงๆ ตอนนี้ผมเริ่มใจคอไม่ดีแล้วเพราะเสียงที่ว่ามันไล่อยู่ด้านหลังผมเอง ผมตัดสินใจหันไปดูรอบๆก็ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นกล้วยจำนวนมากรายล้อมอยู่รอบตัว เสียงยังคงตามมาใกล้ๆ ชัดขึ้นทุกทีๆ ต้องเป็นเสียงฝีเท้าแน่ๆผมมั่นใจ แต่มันเสียงฝีเท้าใครล่ะดึกขนาดนี้ใครจะออกมาหากล้วยกิน เป็นไปไม่ได้ เสียงๆนั้นค่อยๆใกล้เข้ามา ผมไม่รอช้า ใช้แรงที่มีทั้งหมดวิ่งเต็มสปีดตรงกลับบ้านอย่างไว ไม่สนแล้วว่าเป็นเสียงอะไร วิ่งไปก็ร้องตะโกนให้คนช่วยไป!! จนในที่สุดผมก็วิ่งมาถึงหน้าบ้านพอเห็นแสงไฟ ก็รู้สึกโล่งใจถึงบ้านสักที…แต่ความรู้สึกโล่งใจยังไม่ทันหาย ผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรเย็นๆเป็นเมือกๆมาโดนที่ขาผม ผมสะดุ้งสุดตัวอุทานมาออกมาเสียงดังลั่นบ้าน พ่อได้ยินเสียงผมตกใจจึงรีบออกมาดู แกถามว่าผมเป็นอะไรร้องเสียงดังทำไม ผมบอกแกว่ามีอะไรไม่รู้ตามผมมาจากดงกล้วย เมื่อกี้มันมาโดนตัวผมด้วย แกบอกให้ผมตั้งสติแล้วให้หันกลับไปมองสิ่งที่ผมบอกว่ามันไล่ตามผมมา ผมค่อยๆหันไปมองอย่างช้าๆพร้อมปาดน้ำตาที่ไหลมาออกมาด้วยความตกใจ ภาพที่ผมเห็นคือ เจ้าหมี น้องหมาที่บ้านผมเลี้ยงไว้ มันกำลังกระดิกหางมองผมอยู่ พ่อบอกว่าสิ่งที่ตามผมมาจากดงกล้วยคงเป็นเจ้าหมีที่มันนอนอยู่ใต้โต๊ะ พอตอนผมดูทีวีจบผมไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าหมียังอยู่หรือเปล่า ด้วยความกลัวจึงวิ่งสุดชีวิตออกจากบ้านก๋งมาเลย เจ้าหมีเห็นเข้ามันจึงวิ่งตามผมมา ด้วยความกลัวที่เข้าครอบงำหลังดูรายการผีจบทำให้หลอนคิดว่าน้องหมาเป็นผีไปซะได้ เรื่องก็มีประมาณนี้ล่ะครับ ขอบคุณที่อ่านครับ***ภาพในบทความใช้เพื่อประกอบเรื่องเล่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่จริง***ภาพประกอบและภาพปกโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !