บทความนี้ผู้เขียนจะมาแชร์ทริคและวิธีเตรียมตัวสอบ TOEFL-ITP ยังไงให้ได้คะแนน 550+ โดยผู้เขียนได้มีโอกาสไปสอบ TOEFL-ITP มาและได้คะแนนไป 560/677 คะแนนและเนื่องจากในปัจจุบันนั้นผลคะแนน TOEFL-ITP สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างมาก ๆ ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากจะมาแชร์ทริคและวิธีเตรียมตัวสอบ TOEFL-ITP ยังไงให้ได้ 550 คะแนนขึ้น ใครกำลังมีแพลนจะสอบต้องไม่พลาดบทความนี้เป็นอันขาด!ลักษณะข้อสอบของ TOEFL ITPข้อสอบ TOEFL-ITP จะเป็นข้อสอบแบบ multiple choice หรือแบบกานั่นเอง โดยตัวโครงสร้งข้อสอบจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ด้วยกันนั่นก็คือส่วนที่ 1; การฟัง (Listening Comprehension) จำนวน 50 ข้อ เวลาสอบ 35 นาทีส่วนที่ 2; ไวยากรณ์ (Structure & Written Expression) จำนวน 40 ข้อ เวลาสอบ 25 นาทีส่วนที่ 3; การอ่าน (Reading Comprehension) จำนวน 50 ข้อ เวลาสอบ 55 นาทีจำนวนข้อรวมทั้งหมดได้ 140 ข้อใช้เวลาสอบทั้งหมด 115 นาทีหรือเกือบ 2 ชั่วโมงด้วยกัน.จะเห็นได้ว่าเวลาสอบนั้นน้อยมาก ๆ ด้วยจำนวนข้อสอบถึง 140 ข้อแต่มีเวลาสอบแค่ 115 นาทีเท่านั้นเองดังนั้นการบริหารจัดการเวลาระหว่างสอบจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ และถ้าต้องการสอบให้ได้คะแนน 550 ขึ้นยิ่งต้องเตรียมตัวก่อนสอบไปให้ได้มากที่สุดเพราะถ้าไม่ได้เตรียมตัวไปเลยคงยากที่จะทำได้ถึงอย่างแน่นอน.รายละเอียดของข้อสอบแต่ละส่วนและข้อแนะนำการเตรียมตัวไปสอบส่วนที่ 1; การฟัง (Listening Comprehension) จำนวน 50 ข้อ เวลาสอบ 35 นาทีในส่วนแรกของการสอบจะเป็น การฟัง (Listening Comprehension) ซึ่งจะเป็นการฟังการสนทนาระหว่างคน 2 คนรวมไปถึงการฟัง Lecture มีการพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและจะมีการเว้นให้ฝนคำตอบไม่กี่วินาทีและจะไปข้อต่อไปเลยไม่มีการเปิดซ้ำ.การฟัง (Listening Comprehension) จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนย่อย คือPart A. Short conversation เป็นการสนทนาประโยคสั้น ๆ ระหว่างคน 2 คน (1 การสนทนา ต่อคำถาม 1 ข้อ) มีทั้งหมด 30 ข้อดังนั้นส่วนนี้จึงสำคัญมาก ๆPart B. Long conversation ประโยคจะยาวกว่า A (1 การสนทนา จะมีคำถามประมาณ 2-3 ข้อ) มีทั้งหมด 8 ข้อPart C. Lecture คล้ายกับ Lecture หัวข้อต่าง ๆ ของอาจารย์ในห้องเรียนมหาวิทยาลัย โดยจะยาวกว่า long conversation ขึ้นมาอีก (ใน 1 Lecture จะมีคำถามประมาณ 3-5 ข้อ) มีทั้งหมด 12 ข้อการเตรียมตัวสำหรับส่วนการฟังนั้นผู้เขียนแนะนำให้ต้องฝึกฟังให้เยอะ ๆ เข้าไว้เพราะขอแค่เราพอฟังออกอาจจะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ทำให้เราทำข้อสอบได้หลายข้อแล้ว ตอนที่ผู้เขียนสอบนั้นก็ไม่ได้ฟังออกหมดแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เป๊ะแต่ผู้เขียนก็ทำคะแนนได้ค่อนข้างโอเคเลย แน่นอนว่าถ้าเราฝึกฟังมาบ่อย ๆ ทั้งจากแนวข้อสอบ TOEFL-ITP หรือฟังจากช่องทางต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันตอนมาทำข้อสอบจริงเราก็จะพอฟังรู้เรื่องอยู่และถ้าเราฟังออกการเลือกคำตอบที่ถูกก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากมากนัก.ข้อแนะนำที่สำคัญที่สุดในส่วนการฟังที่ต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจเลยก็คือถ้าข้อไหนที่ฟังแล้วเราลังเล ไม่แน่ใจหรือไม่ว่าอะไรก็ตามให้เราฝนคำตอบไปเลย แล้วตั้งสมาธิเตรียมที่จะฟังข้อต่อไปทันที ห้ามมัวนั่งคิดอยู่ไม่ยอมฝนเพราะว่าเมื่อข้อต่อไปขึ้นมาแน่นอนว่าเราไม่มีสมาธิจะฟังเราก็จะฟังไม่รู้เรื่องและก็จะทำข้อถัดไปไม่ได้อีก. อย่างที่บอกว่าขอแค่เราพอฟังออกก็จะมีโอกาสสูงมากที่จะตอบได้ดังนั้นเราควรโฟกัสไปที่การฟังในแต่ละข้อให้มากที่สุดถ้าเราฟังแล้วไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้คำตอบก็ให้ฝนเลือกไปเลยแล้วเตรียมทำข้อต่อไปทันที.ส่วนที่ 2; ไวยากรณ์ (Structure & Written Expression) จำนวน 40 ข้อ เวลาสอบ 25 นาทีพาร์ท Grammar ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ1. เติมคำลงในช่องว่าง (Structure) มีทั้งหมด 15 ข้อ2. การระบุส่วนที่ผิดหลักไวยากรณ์ (Error Identification/Written Expression) มีทั้งหมด 25 ข้อการเตรียมตัวสำหรับส่วน Grammar นั้นผู้เขียนแนะนำให้ฝึกทำข้อสอบที่เป็นแนวข้อสอบ TOEFL ITP จริง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยให้อ่านหลัก Grammar ที่จะออกสอบใน TOEFL ITP มาคร่าว ๆ ก่อนและลองทำข้อสอบจริงเยอะ ๆ ไปเลยเมื่อทำเสร็จก็ตรวจดูว่าเราตอบถูกมั้ยถ้าผิดผิดยังไง เพราะยิ่งเราทำเยอะเราจะเริ่มจับ pattern บางอย่างได้ว่าจุดที่ผิดมันจะเป็นแบบนี้และเป็นการผิด Grammar แบบไหน.ข้อแนะนำที่สำคัญที่สุดในส่วน Grammar ก็คือเรื่องเวลาเช่นกัน (จริงๆเรื่องเวลาสำคัญกับทั้ง 3 พาร์ทเลย) ผู้เขียนแนะนำว่าแรกสุดเมื่อเราเห็นข้อสอบแต่ละข้อให้เราทำการแบ่งประโยคเลยว่าตัวไหนเป็นประธาน, กริยา, กรรม, adjective, adverb เมื่อเราแบ่งได้แล้วว่าตัวไหนคืออะไรและถ้าเราทำข้อสอบมาเยอะ ๆ บางข้อเราจะรู้ได้ทันทีว่าจุดนี้มันผิดนี่ ซึ่งก็ให้เรารีบฝนและไปข้อต่อไปเลย.ผู้เขียนก็แนะนำให้เราทำไปให้หมดทุกข้อก่อนถ้าเวลาเหลือค่อยกลับมาทวนอย่าไปมัวจมอยู่กับข้อนึงนานๆเพราะข้อที่ง่าย ๆ ก็มีอยู่ถ้าเรามัวจมอยู่กับบางข้อนานแล้วยิ่งเวลาเหลือน้อยก็จะยิ่งทำให้เราลนจนอาจทำผิดหลายข้อทั้ง ๆ ที่บางข้ออาจจะไม่ยากเลย.ส่วนที่ 3; การอ่าน (Reading Comprehension) จำนวน 50 ข้อ เวลาสอบ 55 นาทีพาร์ท Reading จะมีบทความให้อ่านเพื่อตอบคำถามบทความละประมาณ 8-10 ข้อมีทั้งหมด 4-5 บทความ รวม 50 ข้อ จะเห็นได้ว่าเราต้องอ่านบทความยาว ๆ ราว 5 บทความเพื่อตอบคำถาม 50 ข้อในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำซึ่งต้องบริหารเวลาให้ดีมาก ๆ เลย.การเตรียมตัวสำหรับส่วน Reading นั้นแน่นอนว่าเราก็ต้องฝึกอ่านให้เยอะจนแบบที่ว่าอ่านแล้วต้องไม่มาแปลเป็นภาษาไทยในหัวอยู่อีกเพราะถ้ามัวมาแปลอยู่อีกแบบนั้นมีโอกาสสูงที่จะทำไม่ทันแน่นอน. ซึ่งการฝึกอ่านแบบไม่แปลในหัวอาจฟังดูยากแต่ถ้าเราฝึกอ่านสิ่งต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันเวลาเราเจอประโยคหรือคำซ้ำ ๆ เราก็จะรู้ไปเองเลยแบบไม่ต้องมามัวแปลและทำความเข้าใจเป็นภาษาไทยอยู่อีก แน่นอนว่าก็ควรฝึกอ่านจากสิ่งที่เราชอบเยอะ ๆ และเดี๋ยวเราก็จะชินและอ่านได้โดยไม่ต้องแปลเป็นภาษไทยก่อนได้.ข้อแนะนำที่สำคัญที่สุดในส่วน Reading ก็คือเรื่องเวลาเช่นกัน (อีกแล้ว) ผู้เขียนแนะนำว่าในแต่ละบทความจะมีข้อที่ง่ายมาก ๆ อยู่ให้หาข้อนั้นให้เจอและรีบตอบให้ได้โดยมันจะมีข้อที่ยากและต้องใช้เวลาหาคำตอบนาน ผู้เขียนแนะนำให้ข้ามไปทำบทความต่อไปเลยโดยหาข้อที่ง่ายก่อนเช่นเดิมในรอบแรก ๆ ที่สอบผู้เขียนก็ชอบที่จะทำให้เสร็จไปทีละบทความโดยในบางข้อผู้เขียนก็เสียเวลาไปหลายนาทีกว่าจะหาคำตอบเจอซึ่งถึงแม้จะเป็นข้อที่ตอบถูกแต่การที่เราเสียเวลาไปเยอะมากจนอาจจะทำหลายข้อด้านหลังไม่ทันก็จะส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ ให้นึกไว้ว่าเราไม่ได้มาทำจะเอาคะแนนแบบเต็มเลยซึ่งถ้าได้เต็มมันก็ดีแต่ถ้าเรายังไม่เก่งขนาดนั้นก็ต้องวางแผนต้องบริหารเวลาให้ดีขอแค่บรรลุเป้าหมายคะแนนที่เราต้องการมาให้ได้ถ้าเรามัวไปคิดว่าทุกอย่างต้องเพอร์เฟคเราต้องกาคำตอบข้อนี้ให้ได้ไม่งั้นจะไม่ไปทำข้ออื่นการทำแบบนั้นจะยิ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดีแน่นอน. โดยคนที่เก่งมาก ๆ นั้นผู้เขียนมองว่าเขาก็ไม่ได้ใช้เวลาในการทำแต่ละข้อนานเพียงแต่ว่าเขามีความรู้ ความคุ้นชินชนิดที่อ่านแล้วคิดแล้วรู้คำตอบแล้วฝนเลยเพราะคนเก่ง ๆ ก็มีเวลาสอบเท่าเรานี่แหละนะ.เรื่องควรรู้ก่อนวันสอบจริง1.) วางแผนเรื่องการบริหารเวลาให้ดีที่สุดคิดไว้เสมอว่าต้องได้ฝนคำตอบครบทุกข้อและจะไม่จมอยู่กับแต่ละข้อนาน อาจจะเตรียมนาฬิกาข้อมือใส่ไปด้วยแต่วันสอบจริงก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกเวลาแต่อาจจะไม่บ่อยเท่าที่เราต้องการตรงนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนเลยขอแค่บริหารเวลาดี ๆ อย่าไปลนในห้องสอบเด็ดขาด.2.) ถ้าเราพอจะรู้คำตอบแล้วถึงไม่มั่นใจมากก็ให้ฝนไปเลยเพราะเราจะไม่สามารถย้อนไปทำพาร์ทก่อนหน้าได้ เช่น เราทำข้อสอบพาร์ท Reading ซึ่งเป็นพาร์ทสุดท้ายเสร็จก่อนหมดเวลาแล้วคิดว่าย้อนกลับไปทำหรือทวนข้อสอบพาร์ท Listening หรือ Grammar ดีกว่า ทำแบบนั้นไม่ได้เลยนะเพราะเราจะต้องทำให้เสร็จเป็นพาร์ท ๆ ไปจะย้อนกลับไปทำพาร์ทก่อนหน้าไม่ได้ถ้ากรรมการคุมสอบเห็นอาจจะโดนลงโทษได้.3.) พักผ่อนให้เพียงพอ เข้าห้องน้ำ กินอาหารหรือทำอะไรให้เราสบายตัวมากที่สุดก่อนเข้าห้องสอบเพราะว่าเราก็เสียตังค์เป็นพันมาสอบและเตรียมตัวอ่านหนังสือมาตั้งนานแต่ถ้าเรามากังวลหรือเกิดอะไรที่ทำให้เราไม่มีสมาธิตอนสอบสิ่งที่เราทำมาก็อาจจะสูญเปล่าไปก็ได้ ไม่ต้องกังวลว่าเราจะผ่านหรือไม่ผ่านให้ทำให้เต็มที่ถ้าไม่ผ่านเราก็จะได้รู้ว่าขาดคะแนนตรงส่วนไหนเราจะได้กลับมาเตรียมตัวได้ถูก เช่น คะแนนพาร์ท Grammar ค่อนข้างต่ำ แต่คะแนน Listening กับ Reading พอจะโอเคแล้วเราก็สามารถกลับมาเน้นในการเตรียมตัวพาร์ท Grammar ได้.4.) ผู้สอบต้องมาถึงห้องสอบล่วงหน้าอย่างน้อย 30 นาทีก่อนเวลาสอบในแต่ละรอบสอบ และต้องอย่าลืมนำบัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้นมาสอบด้วย.สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอให้ทุกคนที่กำลังจะไปสอบเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดทำให้เต็มที่ของเราก็พอ ถ้าเราไม่ผ่านก็แค่กลับมาตั้งหลักแล้วลุยต่อ ชีวิตแต่ละคนก็มีทั้งช่วงที่ดีและแย่เราไม่ควรที่จะกดดันตัวเองจนเสียความเชื่อมั้่นในตัวเองเพราะถ้าเราไม่เชื่อมั่นในตัวเองและยอมแพ้ในตัวเราเองแล้วนั้นก็ยากที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จได้. ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าทุกคนเตรียมตัวไปดี ๆ และสู้ไม่ถอยก็จะได้คะแนนเกิน 550 คะแนนขึ้นได้อย่างแน่นอน.เครดิตภาพภาพหน้าปก Canva template by Neng-Studioรูปประกอบโดยครีเอเอตอร์ Arteryเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !