ความสัมพันธ์ของคนเรามีปัญหา ส่วนหนึ่งเพราะเราขาดความเข้าใจเรื่องจิตวิทยา ถ้าเราเข้าใจ เราจะใช้ชีวิตได้ราบรื่นมากขึ้น มันไม่ง่ายนะ แต่อย่างน้อยเราก็พอรู้บ้างว่าต้องทำอย่างไรต่อ เรารู้สึกอย่างไร แล้วเขารู้สึกอย่างไร เราจะมองผู้คนตรงหน้าด้วยความเข้าใจว่าเขาน่าจะเป็นแบบนี้ THE PSYCHOLOGY OF PERSONAL GROWTH & BETTER RELATIONSHIP ปลดล็อกชีวิตด้วยจิตวิทยาแบบแอดเลอร์ จะมาให้ความเข้าใจจิตวิทยาเพื่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างโดยเฉพาะ โดยเน้นที่แนวทางของอัลเฟรด แอดเลอร์เป็นหลัก เขียนโดย Toshinori Iwai แปลโดย อมลณัฐ น้อยจีน ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.องค์ประกอบแรกของจิตวิทยาแบบแอดเลอร์คือ การตัดสินใจด้วยตนเอง เราไม่ได้เป็นเพียงเหยื่อของสภาพแวดล้อมหรือการเลี้ยงดูเท่านั้น ทุกคนมีอำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง สิ่งที่ตรงข้ามกับแนวคิดนี้คือ การคิดว่าปัญหาจากสภาพแวดล้อมและวัยเด็กตอนต้นควบคุมและมีอิทธิพลเหนือคุณไปตลอดชีวิต นั่นคือการคิดว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตทำให้คุณตกเป็นเหยื่อ 2.องค์ประกอบที่สองของจิตวิทยาแบบแอดเลอร์คือการกำหนดเป้าหมาย ซึ่งมองว่าการกระทำของแต่ละคนมีจุดประสงค์เฉพาะของตนเอง จิตวิทยาแบบแอดเลอร์เป็นจิตวิทยาเชิงกำหนดเป้าหมายที่มุ่งเน้นอนาคต ซึ่งตรงข้ามกับจิตวิทยาเชิงศึกษาหาสาเหตุที่มุ่งเน้นอดีตที่เป็นจิตวิทยากระแสหลักมาระยะหนึ่งก่อนหน้านั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะของจิตวิทยาแบบแอดเลอร์ 3.แอดเลอร์เชื่อว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สามารถเก็บความขัดแย้งและความไม่สอดคล้องในจิตใจไว้ได้ ดังนั้นองค์ประกอบที่สามของจิตวิทยาแบบแอดเลอร์คือ ความเป็นองค์รวม ซึ่งมองว่าคนแต่ละคนเป็นหนึ่งหน่วยที่ไม่สามารถถูกแทนที่และแบ่งแยกไม่ได้ “ฉันเลิกไม่ได้” หรือ “ฉันไม่สามารถจัดการมันได้” เป็นการกล่าวโทษสภาพแวดล้อม นิสัย หรือการขาดความสามารถที่ไม่สามารถควบคุมได้ คุณพูดว่า “ฉันทำไม่ได้” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าคุณทำไม่ได้ 4.องค์ประกอบที่สี่ของจิตวิทยาแบบแอดเลอร์ มีจุดยืนว่าแต่ละคนทําความเข้าใจเหตุการณ์โดยให้ความหมายส่วนตัวกับเหตุการณ์นั้น และเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะมองสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นกลางหรือตามความเป็นจริง จํานวนความคิดเห็นมีมากเท่ากับจํานวนคน และแม้หากคนหลายคนได้เผชิญเหตุการณ์เดียวกัน แต่ละคนก็จะตีความเหตุการณ์ในแบบของตนเอง 5.องค์ประกอบที่ห้าของจิตวิทยาแบบแอดเลอร์คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ตามหลักของแอดเลอร์นั้น การกระทําทุกอย่างของมนุษย์เกี่ยวข้องกับสักคน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและต้องมีคู่แสดง ดังนั้น หากเราต้องการเข้าใจใคร ตามทฤษฎีการเรียนรู้แนวปัญญานิยมที่เราได้เรียนรู้ไปแล้วนั้น ถือว่าการสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นทางลัดที่ดี เรามักจะพยายามเข้าใจ ผู้อื่นจากความคิดของเขา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (การกระทำ) ของ พวกเขานั้นสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าแนวคิด (ความคิด) ของพวกเขา 6.แนวคิดจิตวิทยาแบบแอดเลอร์มีเป้าหมายดังนี้ เพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของเรา ความเต็มใจที่จะช่วยเหลือส่วนร่วม และความสามารถในการไว้วางใจผู้อื่น โดยรวมแล้วเรียกว่า ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน จิตวิทยาแบบแอดเลอร์มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ของคุณจากการแข่งขันกับผู้อื่นโดยมองว่าเป็นคู่แข่งไปสู่การร่วมมือกัน ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดี 7.การที่แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตนในการคิด รู้สึก แสดง อารมณ์ และกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณา ความรู้สึก และการประพฤติตนของคนผู้นั้น เรียกว่า อุปนิสัย แอดเลอร์เชื่อว่าคําว่าอุปนิสัย แสดงถึงลักษณะที่มีความหนักแน่นและไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น เพื่อถ่ายทอดความหมายที่กว้างกว่าอุปนิสัยและรวมความเชื่อมั่นในตนเองและโลกรอบตัวเข้าไป เขาจึงเลือกใช้คําว่า วิถีชีวิต 8.แอดเลอร์แบ่งภารกิจชีวิตออกเป็นสามประเภท ได้แก่ งาน มิตรภาพและความรัก สิ่งเหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และสามารถจํากัดความได้ดังนี้ 1) ภารกิจด้านการงาน: บทบาท ภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบ ที่ประกอบขึ้นเป็นสิ่งที่คุณต้องทำในแต่ละวัน 2) ภารกิจด้านมิตรภาพ: ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง 3) ภารกิจด้านความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก หรือความสัมพันธ์พ่อแม่กับลูก 9.การค้นหาสาเหตุไม่ได้นําไปสู่การแก้ปัญหา หากเราตระหนักว่าการค้นหาสาเหตุของปัญหาไม่ได้นําไปสู่การแก้ไข เราจะสามารถมีมุมมองที่มุ่งเน้นอนาคตได้ ดังนั้น เมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แล้วเผชิญผลทางลบ เราจะสามารถพยายามทําความเข้าใจว่าแรงจูงใจของเขาคืออะไรและให้กําลังใจพวกเขาแทนเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยการค้นหาสาเหตุและลดคุณค่าของเขา 10.องค์ประกอบสำคัญ 5 ประการของความผิดพลาดพื้นฐาน ได้แก่ การตัดสิน การขยายเกินจริง การมองข้ามสิ่งต่าง ๆ การเหมารวมว่าเป็นเช่นนั้นเสมอ และการปฏิเสธคุณค่าในตนเอง ทุกคนมักจะทำความผิดพลาดเหล่านี้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด 11.แนวคิดเรื่องความด้อยแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้ • ความด้อยทางร่างกาย: ความด้อยตามความเป็นจริงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของคุณมี ความรู้สึกด้อย: ความรู้สึกส่วนตัวว่ามีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวคุณที่ด้อย ความรู้สึกเชิงลบนี้เกิดจากการเปรียบเทียบกับคนอื่นน้อยกว่าการเปรียบเทียบกับตัวตนในอุดมคติของคุณเอง • ปมด้อย: การอวดในสิ่งที่ด้อยพร้อมกับหลีกเลี่ยงสิ่งที่คุณต้องทำในชีวิต (ภารกิจชีวิต) ความด้อยทางร่างกายคือการที่ร่างกายของคุณ (ประสาทสัมผัส อวัยวะภายใน กระดูก ฯลฯ) มีการทำหน้าที่ได้น้อยกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่แรกเกิดหรือเป็นความพิการที่เกิดขึ้นภายหลัง แอดเลอร์เองป่วยเป็นโรคกระดูกอ่อน และเขาเรียกอาการนี้ว่า อวัยวะด้อย เมื่อคุณได้ยินคำว่า ความรู้สึกด้อย คงเป็นธรรมดาที่จะคิดว่าความรู้สึกนี้เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น แต่ในทางจิตวิทยาของแอดเลอร์นั้น หมายถึงความรู้สึกเชิงลบที่เกิดจากระยะห่างระหว่างตัวตนที่เราเป็นตามจริงกับตัวตนในอุดมคติของเรา 12.การแสดงออกถึงอารมณ์หลักคือความผิดหวังด้วยความโกรธ เป็นเรื่องปกติมากในที่ทำงาน เช่น เมื่อลูกน้องได้รับมอบหมายงานสำคัญแต่ยาก แล้วหัวหน้าโกรธเมื่อความพยายามของลูกน้องไม่ได้มาตรฐาน ในกรณีนี้ หากหัวหน้าแสดงออกถึงอารมณ์ขั้นแรกคือ ความผิดหวัง แทนความโกรธ จะกระตุ้นให้ลูกน้องคิดทบทวนตนเอง 13.วิธีสร้างความกล้าหาญ 1) มีความเคารพและความไว้วางใจเป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 ) ตระหนักถึงความแตกต่างของบุคลิกภาพ 3) เปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดแข็ง 4) มีการเผชิญหน้าเป็นครั้งคราว แม้ว่าคุณต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ดีกับใครสักคน แต่จะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีความเคารพ หรือความไว้วางใจระหว่างกัน 14.ผู้คนไม่รับรู้เหตุการณ์ต่างๆในแบบที่เป็นกลางตามแต่มองเหตุการณ์เหล่านั้นตามแต่ละบุคคลผ่านการรับรู้และในวิธีเฉพาะของตนเองซึ่งกลายเป็นความเป็นจริงของแต่ละคน จิตวิทยาแบบแอดเลอร์เรียกกรอบความเข้าใจนี้ว่า ปัญญานิยม ตัวอย่างเช่น แม้ว่าคนสิบคนได้ประสบกับเหตุการณ์เดียวกัน ก็จะมีการตีความเหตุการณ์นั้นแตกต่างกันไปสิบแบบ ที่จริงแล้วจำนวนของความเห็นมีมากเท่ากับจํานวนคน แต่ละคนรับประสบการณ์ในแบบที่แตกต่างกัน บางคนอาจบอกว่าเหตุการณ์นั้นยากลำบาก ในขณะที่บางคนอาจบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า อาจมีอีกคนที่บอกว่าเหตุการณ์เดียวกันนั้นไม่ได้ยากลำบากหรือเป็นประสบการณ์อันมีค่าแต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาต่างหาก แต่ละคนมีการตีความและประสบการณ์สิ่งต่างๆในแบบของตนเอง ตามประสบการณ์และความรู้ของคนคนนั้น 15.แนวทางสี่ข้อในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี 1) ความเคารพ: ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างสุภาพ แม้ว่าผู้คนจะมีความแตกต่างมาก ทั้งอาชีพ เพศ อายุ บทบาท ความสนใจ และอื่น ๆ คุณต้องยอมรับว่าไม่มีความแตกต่างใด ๆ ในเรื่องของเกียรติ 2) ความไว้วางใจ: ค้นหาเจตนาที่ดีเบื้องหลังการกระทำของผู้คนอยู่เสมอ และเชื่อพวกเขาโดยไม่ต้องมองหาข้อพิสูจน์ 3) ความพยายาม: เผชิญหน้ากับเป้าหมายร่วมกับคู่แสดงของคุณในขณะที่พยายามแก้ไขปัญหา 4) ความเห็นอกเห็นใจ: เปิดใจให้กว้างต่อความคิด อารมณ์ และเงื่อนไขของคู่แสดง 16.ตอนที่คู่แสดงของแม่เป็นลูก เธอแสดงความโกรธอย่างชัดเจน แต่เมื่อคุยโทรศัพท์เธอกลับเป็นคนละคน ยิ่งกว่านั้นเมื่อรับสายจากแม่สามีเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทันทีที่การคุยโทรศัพท์สิ้นสุดลงเธอก็กลับมาโกรธเหมือนเดิมอีกครั้ง จากตัวอย่างนี้ ในตอนแรกผู้เป็นแม่กำลังใช้อารมณ์โกรธเพื่อพยายามให้ลูกทำการบ้าน โดยจุดประสงค์ของอารมณ์คือการควบคุม แต่แม่ไม่จำเป็นต้องใช้ความโกรธกับแม่สามี 17.ความรู้สึกด้อยทำประโยชน์ให้กับเราอย่างน้อยสองประการ 1) เป็นอารมณ์ที่มาพร้อมกับความพยายามที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น 2) เป็นเพื่อนในแบบที่ไม่สามารถมีอะไรมาแทนที่ได้ หากคุณดูสิ่งที่คุณมีในวันนี้ หลาย ๆ อย่างต้องขอบคุณความรู้สึกด้อย มังงะเล่มนี้ถือว่าถ่ายทอดออกมาได้และยกตัวอย่างได้แบบขยี้ใจ โดยเฉพาะความรู้สึกของคนทำงานประจำที่อาจมีเรื่องขัดเคืองใจกับการทำงานของคนรอบข้าง ซึ่งบางประเด็นมีรากปัญหาที่เกิดจากตัวเราเป็นหลัก เครดิตภาพ ภาพปก โดย Tatsuo Nakamura จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Fox จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Andrea Piacquadio จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ MANIFEST 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา รีวิวหนังสือ MANIFEST DIVE DEEPER ดำดิ่งลึกซึ้ง ไปให้ถึงทุกปรารถนา รีวิวหนังสือ The LAST LECTURE เดอะลาสต์เลกเชอร์ รีวิวหนังสือ Four Thounsand Weeks : Time Management for Mortals ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !