ท่านกำลังประสบปัญหากับการเป็นคนขี้โมโหอยู่ใช่หรือไม่? ใครพูดหรือทำอะไรก็รู้สึกมีอารมณ์ของขึ้นเห็นอะไรก็ขวางหูหวางตาไปหมดทั้งที่เป็นแค่เรื่อง'ไม่เป็นเรื่อง' ตัวผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งคนนั้นครับที่มีนิสัยขี้โมโห(มากๆ) เพราะด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทั้งคนข้างหน้า คนข้างหลัง ไหนจะต่อสู้กับงานอันแสนปวดหัวอีก(วันๆพันกว่าเรื่อง) จะไม่ให้เครียดแล้วเกิดอาการของขึ้นบ้างได้ยังไงกันละครับจริงมั้ย? ยิ่งโดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวเราเนี่ยถ้าวันไหนเราเผลอเอางานกลับมาคิดที่บ้านด้วยแล้ว แทนที่บ้านจะเป็นวิมานแสนสุขก็เปลี่ยนเป็นนรกโดยพลัน เพราะอารมณ์ของขึ้นอารมณ์ค้างกับงานแล้วมาลงที่คนใกล้ตัวนี่แหละครับเป็นปัญหาหนักเลย วันนี้ผู้เขียนขอมาแนะนำเทคนิคง่ายๆ5ขั้นตอนในการแก้นิสัยขี้โมโหให้กลายเป็นคนที่ใจเย็นขึ้นภายใน30วันกัน ถ้าใครคิดว่าตนเองเป็นคนขี้โมโหของขึ้นง่าย แล้วอยากลองปรับนิสัยเป็นคนใจเย็นดูบ้างก็ตามมาอ่านกันเลย เทคนิค 5 ขั้นตอนแก้นิสัยขี้โมโห 1. กฏเหล็กเบื้องต้นที่ต้องทำให้ได้คือ เราจะไม่พูดหรือทำอะไรเด็ดขาดในยามที่โกรธ รอให้เราใจเย็นลงก่อนหรือหายโกรธก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะหากเรารู้สึกว่าเรากำลังมีอารมณ์พลุ่งพล่าน เดือดปุดๆอยู่ล่ะก็ หยุดครับ หยุด ณ but now!! ให้เราพายามสงบนิ่งไว้ อย่าพูดหรือทำอะไรเด็ดขาดให้ระลึกไว้เสมอว่าการกระทำหรือคำพูดใดๆที่เราแสดงออกในยามที่เราโกรธมักเป็นไปในทางเสียหายเสมอ "ไม่เธอก็ฉันต้องแหลกกันไปข้าง" แบบนี้ไม่ดีแน่ครับเราอาจจะรู้สึกสะใจชั่วคราวที่เราได้แสดงออกและระบายอารมณ์ออกไป(ทำไมชั้นต้องทน) แต่เชื่อเถอะครับว่ามันย่อมส่งผลเสียหายที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมตามมาเสมอ 2. ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองคิดถึงโทษของการเป็นคนขี้โมโหและลองคิดถึงประโยชน์ที่ได้จากความเมตตาหรือการให้อภัยดูครับ พูดง่ายๆคือให้เราลองย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่านมาว่าเราเคยสูญเสียอะไรไปแล้วบ้างเพราะความโกรธ ทำให้ใครเสียใจไปกี่คน ทำลายโอกาสดีๆไปเท่าไหร่ ทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไปอย่างไร ลองคิดถึงสิ่งเหล่านี้ให้บ่อยๆซ้ำๆ คิดจนใจเรายอมรับหมดข้ออ้างให้ตัวเอง ("ก็ฉันเป็นแบบนี้นี่" "ก็มันทำกับฉันก่อน" "ฉันไม่ได้ผิดซักหน่อย" ฯลฯ) สารพัดข้ออ้างที่คุณคิดว่าคุณมีสิทธิที่จะโมโหแสดงอารมณ์โกรธใส่ผู้อื่นได้ขอให้คุณยอมรับเถอะครับว่าความโกรธไม่ใช่ของดีแต่เป็นสิ่งที่คอยแต่จะทำลายความสุขทั้งของเรา คนที่เรารักและคนที่รักเรา ความโกรธหรืออารมณ์ขี้โมโหมันไม่เคยให้อะไรกับเราเลยนอกจากความสะใจชั่วครู่ที่เราได้ระบายออกและทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ถ้าเรายังคิดไม่ได้ด้วยตนเองว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรเปลี่ยนแปลงก็ยากที่ใครจะมาบอกมาสอนได้นอกจากจะรู้ถึงโทษของมันได้ด้วยตนเอง 3. รู้จักชื่นชมคนอื่นบ้างเล็กๆน้อยๆก็ยังดี หัดให้กำลังใจผู้คนบ่อยๆแรกๆอาจจะยากเพราะยังหาความดีของเขาไม่เจอแต่พอเราหมั่นฝึกชื่นชมให้กำลังใจคนอื่นบ่อยๆใจเราจะคุ้นชินกับความรู้สึกดีมันจะค่อยๆรู้สึกเบื่อหน่ายความโกรธความโมโหไปเองทีละน้อย คุณคิดว่าความรู้สึกโกรธโมโหกับความรู้สึกดีที่เราได้ช่วยเหลือผู้อื่นแบบไหนเราจะมีความสุขมากกว่ากัน? "เราอาจขับไล่ความมืดไม่ได้ แต่ถ้าเราจุดไฟได้ ความมืดจะหายไป" 4.ฝึกมองความรู้สึกตัวเองด้วยใจที่เป็นกลางให้หมั่นรู้สึกตัวอยู่เสมอมองดูอารมณ์ตัวเองระหว่างวันอันนี้อาจทำยากต้องอาศัยสติ แต่ต้องหมั่นทำครับเพราะอารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาทั้งอารณ์ดี อารมณ์เสีย อารมณ์เศร้า หรืออารมณ์โมโหนั้น ก็เหมือนกันคือมันอยู่ไม่นานเดี๋ยวมันก็ผ่านไปไม่มีใครจมอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้ตลอดไปหรอกครับ ความรู้สึกมันมีทั้งสองด้านถ้าเราไปจับเอาทุกอย่างเป็นอารมณ์(ทั้งดีและร้าย)สุดท้ายเมื่อเรายึดอารมณ์ข้างหนึ่งไว้อีกข้างหนึ่งก็จะตามมาด้วยเสมอเป็นของคู่กัน เช่น เมื่อมีความรักทำให้เรามีความสุขแต่เมื่อเราพลัดพลากจากคนที่เรารักก็จะทำให้เรามีความทุกข์เกิดขึ้นตามมา ยิ่งรักมากยิ่งทุกข์มากเป็นเงาตามตัว สู้เราเฉยๆกับมันไม่ดีกว่าหรือครับ คนชมก็วางเฉย คนนินทาก็ไม่สนใจ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของมันแบบนั้นมีแต่เราที่คิดไปเองเอาอารมณ์ตนเองไปใส่ไว้ที่ข้างใดข้างหนึ่งโดยหารู้ไม่ว่าของทุกอย่างมันมาเป็นคู่เมื่อคุณเลือกความสุขความทุกข์จะตามมาเสมอ การฝึกวางใจให้เป็นกลางนอกจากจะช่วยให้เรามีอารมณ์โกรธลดน้อยลงแล้วยังช่วยกำจัดความคิดด้านลบของเราไปในตัวอีกด้วย 5. รู้จักสังเกตตนเอง รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตน คุณเคยเป็นมั้ยครับที่เห็นหน้าคนๆนี้ทั้งๆที่เขายังไม่ได้ทำอะไรให้เราแต่ด้วยความที่เราเคยโกรธโมโหใส่คนๆนี้บ่อยๆ พอเห็นหน้าเข้าก็ชักเริ่มของขึ้น มีอารมณ์หงุดหงิดทะแม่งๆแนะนำให้ออกห่างเค้าครับ แต่ถ้าเกิดเป็นคนในครอบครัวเราอย่างญาติพี่น้อง ก็ให้นำสิ่งที่เขาทำให้เราไม่พอใจมาเป็นเครื่องมือในการฝึกให้อภัยดีกว่าที่เราจะมารู้สึกไม่ดีแล้วต้องไปทะเลาะกับเขา งานนี้อาจต้องใช้ความอดทนสูงแต่ถ้าคุณเข้าใจยอมรับและให้อภัยเขาบ่อยๆได้ใจคุณจะเย็นขึ้นเอง การที่เราเป็นคนโกรธง่ายโมโหง่ายไม่มีอะไรดีมีแต่เสียกับเสียทั้งกายใจ มิตรภาพ หน้าที่การงาน กลายเป็นคนที่ใครเห็นก็ไม่อยากเข้าใกล้เพราะคุณเป็นคนขี้โมโหหงุดหงิดง่าย อีกทั้งตัวเราเองก็ไม่มีความสุขด้วย เทคนิคแก้นิสัยขี้โมโหทั้ง5ข้อที่ผู้เขียนแนะนำไปฝึกช่วงแรกๆอาจจะยากถึงยากมากแต่ขอให้ท่านผู้อ่านอดทนฝึกทำทุกวันอย่างสม่ำเสมอไม่ต้องถึงกับไปนั่งสมาธิหรอกครับแค่ในระหว่างวันให้หมั่นรู้สึกตัวไว้ก็พอ ใครทำอะไรพอใจอะไรก็อย่างเพิ่งไปด่วนตัดสินเค้าครับ ถอยออกมา ทำใจร่มๆตั้งสติดีๆ ก่อนจะพูดหรือทำอะไรออกไปอย่าทำตามความเคยชินและอย่าท้อไปก่อนเพราะทั้งหมดนี้เราไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่เราทำเพื่อตัวเราเอง ขอบคุณครับ ภาพประกอบบทความและภาพประกอบปก โดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !