คอนสแตนติโนเปิล คือเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรืออีกชื่ออย่างเป็นทางการคือ จักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) เป็นที่รู้จักกันดีหากทุกท่านเรียนวิชาประวัติศาสตร์ และเมื่อถึงความเรียนประวัติศาสตร์โลก ท่านคงจะต้องได้ยินชื่อจักรพรรดิคอนสแตนติน แห่งจักรวรรดิโรมัน (Rome Empire) ว่าเป็นผู้สร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ขึ้นมา คือ ไบเเซนติอุม ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มาตั้งแต่สมัยอารยธรรมกรีก และหลังจากนั้นก็ได้พัฒนายกระดับขึ้นมาเป็นจักรวรรดิอีกแห่งหนึ่ง คู่ขนานกับกรุงโรม และแบ่งแยกการปกครองกันกลายเป็น โรมันตะวันตก ที่มีศูนย์กลางคือ กรุงโรม และโรมันตะวันออกที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ กรุงคอนสแตนติโนเปิล (อีสตันบูล ตุรกีในปัจจุบัน) โดยนี่คือเรื่องคร่าว ๆ ที่ทุกท่านได้ทราบมา แต่หลังจากการล่มสลายของโรมันตะวันตกในปี ค.ศ.476 ทุกท่านคงได้เรียนต่อแต่เพียงว่า ตะวันตกเข้าสู่ยุคมืด หรือที่เรียกว่า ยุคกลาง และยุคถัดมาคือ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (เรเนอซองส์) ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 แต่ทุกท่านมิได้รู้ หรือรู้น้อยมาก ว่าในความเป็นจริง ปัจจัยสำคัญนอกจากสงครามครูเสดที่ผลักดันให้เกิดยุคเรเนอซองส์ ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ยุโรปเปลี่ยนแปลงมาสู่ทิศทางแห่งวิวัฒนาการอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับโรมันตะวันออกโดยตรง แต่จะเพราะเหตุใด อยากให้ทุกท่านได้ลองติดตามอ่านต่อเลยครับ หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (Rome Empire) ยุโรปตะวันตกก็เข้าสู่ยุคมืด ศิลปกรรม อารยธรรมกรีก โรมันหลายอย่างถูกทอดทิ้งไม่ให้ความใส่ใจ......ใช่ครับ นั่นคือความเป็นจริง แต่.....นั้นคือยุโรปตะวันตก และโรมันตะวันตกเท่านั้นที่ล่มสลายไป โรมันตะวันออกอย่างกรุงคอนสแตนติโนเปิลยังคงอยู่หนิ และมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ พวกโรมันตะวันออกซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ในทางวัฒนธรรม บริเวณที่เป็นที่ตั้งของคอนสแตนติโนเปิล คือ ไบเเซนไทน์ อยู่ที่พื้นที่อารยธรรมเก่าเเก่ตั้งแต่กรีกโบราณ สืบมาจนถึงยุคของจักรวรรดิโรมัน แน่นอนครับว่า คนในพื้นที่ย่อมได้รับอารยธรรม ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมต่าง ๆ จากทั้งสองอารยธรรมสำคัญ มิหนำซ้ำยังอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่จะเข้าสู่โลกตะวันออก หรือเอเชียของเรานั้นเอง ทำให้ชาวไบแซนไทน์ ได้เปรียบในเรื่องการรับอารยธรรมอย่างหลากหลายและเต็มที่ ในขณะที่ชาวยุโรปตะวันตกกำลังงมงายกับศาสนา ไร้เสถียรภาพ ชาวไบแซนไทน์ไม่ได้ไปโศกเศร้า หรือสิ้นเนื้อประดาตัวด้วยครับ เพราะพวกเขามีวิศวกรรม และตำราต่าง ๆ ที่มีมาแต่โรมันยังอยู่ เก็บเอาไว้ต่าง ๆ มากมาย ก็รังสรรค์วัฒนธรรมของตัวเองไป สืบความยิ่งใหญ่และต่อยอดสิ่งที่ได้รับจากโลกทางเอเชียเข้ามาผสมเข้าไปอีก..........................................................................................................................................................................วิหารฮาเยียโซเฟีย มหาวิหารสำคัญแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล สุดยอดสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ (ภาพจาก unsplash)อยู่มาเรื่อยจนเกิดสงครามครูเสดขึ้นครับ ทุกท่านคงทราบดีว่าสงครามครูเสดเป็นสงครามศาสนาระหว่าง คริสต์ และ อิสลาม ที่แย่งพื้นที่เมืองศักดิสิทธิ์อย่างนครเยรูซาเล็มกัน สงครามศาสนานี้มีความสำคัญมากนะครับ คือ เป็นการขยายอำนาจและอิทธิพลของความเชื่อเหล่าผู้นับถือศาสนาอิสลาม ที่มุ่งจะเข้าไปทางตะวันตก แต่สิ่งที่ขวางกั้นการเข้าไปสู่โลกตะวันตก คือ กรุงคอนสแตนติโนเปิลนี่แหละครับ เป็นปราการขนาดใหญ่ที่เป็นปัญหา และตัวของจักรพรรดิจากคอนสแตนติโนเปิลเองนี่แหละ ที่เป็นคนขอความช่วยเหลือจากพระสันตปะปาแห่งโลกตะวันตกให้นำกองทหารมาช่วยรบสกัดกั้น กลายเป็นสงครามครูเสดขึ้นมา เห็นไหมครับว่า คอนสแตนติโนเปิล เป็นประวัติศาสตร์คู่ขนานที่สำคัญประการหนึ่งเลยสำหรับประวัติศาสตร์ยุโรปในช่วงยุคมืด ( Dark age ) แต่เรื่องมันมีมากกว่านั้นครับ และกลายเป็นเหตุปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันเลยที่ผลักดันให้เกิดยุคเรเนอซองส์คือ....หลังจากรบสงครามครูเสดเนี่ย ชาวยุโรปตะวันตกจากที่เคยงมงายเชื่อในหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ ก็ได้เห็นโลกตะวันออกจากการเดินทางมารบที่นครเยรูซาเล็ม แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น พวกนักรบครูเสดต้องมาเเวะที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลก่อน....แล้วทุกท่านคิดว่าพวกเขาได้เห็นอะไรครับ.....คำตอบก็คือ สิ่งที่เป็นอารยธรรมเก่าของพวกเขา คือ อารยธรรมกรีก โรมัน ซึ่งมีความเป็นอารยธรรมอย่างมาก ทำให้พวกเขาเริ่มตาสว่าง แล้วยิ่งไปรบกับชาวมุสลิมอีก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนอารยธรรมกัน ซึ่งต้องบอกว่า ในยุคมืดของตะวันตก ความเจริญรุ่งเรื่องเหวี่ยงมาอยู่ที่โลกตะวันออก ทำให้ชาวยุโรปจากตะวันตกจึงเริ่มเปลี่ยนความคิดกลับมาสู่สิ่งที่เป็นจริงมากขึ้น แต่มันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงในทันทีครับ เหมือนอารมณ์ประมาณว่าเริ่มคิดได้ แต่ยังไม่มีตำรามาอ้างอิงสมมุติฐาน จนเกิดเหตุการณ์สำคัญในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 15 กรุงคอนสแตนติโนเปิล ที่เป็นปราการสำคัญแห่งการสกัดกั้นอารยธรรมและศาสนาอิสลาม ถูกกองทัพออสโตมัน นำโดยสุลต่านเมเหม็ดที่ 2 บุกมาล้อมเมืองหลวงกรุงคอนสแตนติโนเปิล และตีแตกในที่สุด (ค.ศ.1453) ในรัชกาลจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 ประเด็นสำคัญคือ การเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิลนั้น ทำให้เกิดการอพยพของชาวเมืองเพื่อลี้ภัยสงครามครับ คิดดูครับว่า จะหนีไปที่ไหนดี ที่ที่มีอารยธรรมคล้ายหรือเหมือนกัน นับถือศาสนาเดียวกัน....................................................ภาพวิหารฮาเยียโซเฟียระยะไกล ซึ่งในเวลาต่อมาจากศาสนสถานของคริสต์ได้กลายเป็นศาสนสถานของอิสลาม (ภาพจาก freepik) แน่นอนครับ ชาวเมืองคอนสแตนติโนเปิลอพยพเข้าสู่ยุโรปตะวันตก ส่วนใหญ่จะเข้าทางประเทศอิตาลี (ไม่ได้หนีโควิด-19 นะ อิอิ) และชาวคอนสแตนติโนเปิล ที่ประกอบไปด้วย ชาวบ้านชาวเมือง นักปราชญ์ วิศวกร หรือผู้มีความรู้ต่าง ๆ คงไม่ได้ไปมือเปล่าเป็นแน่ ก็ต้องนำตำรา หรือความรู้ที่สั่งสมมาจากอารยธรรมกรีกและโรมันไปด้วย......บวกกับความตื่นรู้มากขึ้นที่มีอยู่เดิมแล้วของชาวยุโรปตะวันตก ผนวกกับมือตำรามาเสริมอีก จึงผลักดันให้ การอพยพเคลื่อนย้ายคนในครั้งนี้มีผลสำคัญอย่างมาก โดยเริ่มต้นจากการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดิไบเซนไทน์นี่แหละครับ ทำให้ชาวยุโรปตะวันตก เกิดการรื้อฟื้นวัฒนธรรม อารยธรรมเดิมที่ตนเองเคยมี และผลักดันไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรเนอซองส์อย่างเป็นทางการนั้นเองครับ ภาพระยะไกลแสดงถึงวิวของกรุงคอนสแตนติโนเปิลที่อยู่ติดกับน้ำ และเป็นเมืองท่าสำคัญที่อยู่ระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก (ภาพจาก freepik) เห็นไหมครับว่า กรุงคอนสแตนติโนเปิล หรือ จักรวรรดิไบเซนไทน์ มีความสำคัญมากในทางประวัติศาสตร์ เพราะ 1. เป็นประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่ขนานกับประวัติศาสตร์ยุโรปในยุคมืดแต่ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้กันเท่าที่ควร 2.ประวัติศาสตร์ของกรุงคอนสแตนติโนเปิล มีความสำคัญมาก เพราะเป็นจักรวรรดิที่เก็บองค์ความรู้ของอารยธรรมกรีกและโรมันเอาไว้ ซึ่งในเวลาต่อมาจะส่งกลับไปยังยุโรปตะวันตกให้ได้รื้อฟื้นอารยธรรมกัน 3.คอนสแตนติโนเปิลเป็นปราการสำคัญไม่ให้ความเชื่อแนวคิดศาสนาอิสลามลุกลามเข้าเผยแพร่ในเขตโลกตะวันตก และคอนสแตนติโนเปิลยังเป็นจุดรับและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมโลกตะวันตกและตะวันออกที่สำคัญอีกต่างหาก ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมกรุงคอนสแตนติโนเปิลจึงเป็น "หมายเหตุสำคัญกำเนิดเรเนอซองส์"