“รากาซา” พายุที่แรงสุดในโลก สาเหตุจากโลกร้อน เตือนอนาคตพายุจะแรงกว่านี้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้พายุไต้ฝุ่นมีความรุนแรงและฝนตกหนักมากขึ้น โดยนักวิจัยจาก Imperial College London เตือนว่า ภาคใต้ของจีนอาจต้องเผชิญกับพายุที่รุนแรงขึ้นในอนาคต ผลการศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ ไต้ฝุ่นรากาซา (Super Typhoon Ragasa) พายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรงที่สุดของโลกในปีนี้ ก่อความเสียหายโดยตรงต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินในจีนใต้เพิ่มขึ้นประมาณ 36%

ไต้ฝุ่นรากาซา ซึ่งระดับความรุนแรงสูงสุดใกล้เคียงกับพายุเฮอริเคนระดับ 5 เคลื่อนผ่านฟิลิปปินส์ตอนเหนือและไต้หวันเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 คน ก่อนจะมุ่งไปยังฮ่องกงและจีนใต้ พร้อมฝนตกหนัก ลมแรง และน้ำท่วมขังอย่างกว้างขวาง

การศึกษานี้ใช้ Imperial College Storm Model (IRIS) เพื่อวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้ไต้ฝุ่นรากาซามีความรุนแรงมากขึ้นเพียงใด ผลปรากฏว่า ความเร็วลมสูงสุดขณะพายุขึ้นฝั่งในจีนใต้สูงขึ้น 7% (ประมาณ 13 กม./ชม.) ฝนจากตาพายุหนักขึ้น 13% และเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้ซึ่งเคยเกิดเฉลี่ยทุก 7–13 ปี ในสภาพอากาศปัจจุบันเกิดขึ้นทุก 5–8 ปี นักวิจัยเตือนว่า หากโลกร้อนขึ้น 2°C ไต้ฝุ่นรากาซาแบบเดียวกันจะก่อความเสียหายเพิ่มอีก 24% เนื่องจากเมื่อพายุถึงระดับหนึ่ง โครงสร้างอาคารและต้นไม้จะพังเป็นโดมิโน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทันที เพื่อป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น Emily Theokritoff จาก Grantham Institute – Climate Change and the Environment กล่าวว่าการชะลอการลดการปล่อยก๊าซทำให้เหตุการณ์รุนแรงและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

สรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ไต้ฝุ่นรากาซารุนแรงและมีฝนตกหนักมากขึ้น ส่งผลให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจในจีนใต้เพิ่มขึ้นกว่า 1 ใน 3 การเตรียมความพร้อมช่วยลดความเสียหายได้บางส่วน แต่โลกที่ร้อนขึ้นต่อเนื่องจะทำให้พายุรุนแรงมากขึ้น และค่าใช้จ่ายในการรับมือกับภัยพิบัติจะสูงขึ้นตาม