ขอขอบคุณภาพหน้าปกจาก pixabay ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้มีการปรับราคาค่าบริการรถโดยสารสาธารณะขึ้น เนื่องด้วยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพได้ออกประกาศว่าในปัจจุบันรถโดยสารสาธารณะมีการบริการดีขึ้นกว่าแต่เก่ามาก และการปรับราคาจะช่วยให้องค์กรมีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นเพื่อให้ไปพัฒนาการบริการการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นไป แต่ด้วยราคารถโดยสารสาธารณะที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าจะลงนี้ ทำให้ประชาชนทั้งในกรุงเทพและปริมณฑลต่างก็แบกรับภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้กันเพิ่มขึ้น ในขณะที่เงินเดือนค่าแรงขั้นต่ำยังคงอยู่เท่าเดิม ในวันนี้ทางผู้เขียนจะมาเล่าถึงอัตราค่าโดยสารรถประจำทางสาธารณะในประเทศไทยตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงในปัจจุบันให้ทุกคนได้ลองอ่านกัน รวมถึงการเทียบอัตราค่าโดยในต่างประเทศ ถ้าพร้อมแล้ว ตามกันมาได้เลยค่า ขอขอบคุณภาพจาก pixabay อย่างที่ทราบกันดีว่า รถประจำทางสารธารณะหรือรถเมล์ที่เราใช้บริการในปัจจุบันเป็นพาหนะที่มีความสำคัญมากขนาดไหน โดยเฉพาะพนักงานเงินเดือนน้อยที่ต้องขึ้นรถประเภทนี้มาเพื่อมาทำงานในทุก ๆ วัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับอัตราค่าโดยสารประเภทอื่น ๆ เช่น BTS, MRT หรือ Taxi ซึ่งแนวคิดการมีรถเมล์มีตั้งแต่สมัยพ.ศ.2450 โดยพระยาภักดี นรเศรษฐ (นายเลิศ เศรษฐบุตร) เป็นผู้ริเริ่มกิจการครั้งแรก โดยได้มีการใช้กำลังม้าในการลากจูง ในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องยนต์เชื้อเพลิงในขับเคลื่อน ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีการโดยสารที่รวดเร็วยิ่งขึ้น จึงได้นำรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดมาวิ่งแทน ขอขอบคุณภาพจาก pixabay กิจการรถเมล์ได้มีการดำเนินมาเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ภาวะกำไรหดหายในขณะนั้นมีทั้งเอกชนและรัฐวิสาหกิจก่อตั้งทำบริษัทมาแข่งขันกัน เกิดการกระทบกระทั่งกันบางครั้งในกรณีที่การแย่งเส้นถนนวิ่งรถกัน รวมถึงราคาต้นทุนสูงที่พุ่งขึ้นไม่ทันตั้งตัว จนเป็นบ่อเกิดของการเป็นหนี้สิ้น จนในปัจจุบันได้ยุบเหลือเพียงองค์กรเดียวเข้ามาจัดการรับผิดชอบในส่วนนี้คือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2519 จนถึงปัจจุบัน อัตราค่าโดยสารในอดีต เริ่มแรกด้วยราคา 1.25 บาท ของวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ 2519 ที่มีการเริ่มใช้เชื้อเพลิงในขับเคลื่อนรถเมล์ แล้วมีพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นราคา 8 บาทตลอดสาย สำหรับรถเมล์ ขสมก สีแดง และเริ่มต้นที่ 14 บาท สำหรัลรถเมล์เอกชน แล้วจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทาง แล้วไม่มีทีท่าจะลดราคาลง จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าทำให้หลายคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากขึ้น ซึ่งเราจะเห็นได้จากการที่หนี้ครัวเรือนของมนุษย์เงินเพิ่มสูงขึ้นมาก ตราบใดที่ยังเป็นแบบนี้อยู่นั้น จะส่งผลกระทบในระยะยาว นั่นคือประชาชนจะไม่กล้าใช้เงินมากขึ้น เพราะมีค่าใช้จ่ายพื้นฐานจำนวนมากที่รอพวกเขาอยู่ เช่น ค่าเดินทาง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งเหตุผลเหล่านี้อาจจะทำให้ระบบเศรษฐกิจในอนาคตแย่ลงก็เป็นได้ ขอขอบคุณภาพจาก pixabay เป็นยังไงกันบ้างสำหรับบทความที่เรานำเสนอวันนี้ เราจะเห็นได้ว่าภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ที่มีข้าวของแพงต่าง ๆ แพงขึ้น ส่งผลต่อตัวเรามากขนาดไหน ตราบใดที่ยังไม่มีปรับปรุงหรือพัฒนาให้ดีขึ้น อยากฝากทุกคนลองกลับไปนั่งคิดกันดูนะคะ สำหรับวันนี้ขอตัวลากันไปก่อน บายค่า