NWRงานใหม่จ่อหมื่นล. การันตีรายได้ปีนี้โต30%

ทันหุ้น – NWR แย้มอยู่ระหว่างรองานใหม่เพิ่ม 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันกำแบ็กล็อกกว่า 36,100 ล้านบาท คาดรับรู้ปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท มั่นใจรายได้ปีนี้โต 20-30% ตามแผน ด้านต้นทุนเหล็กกระทบน้อย ฟากโบรก ชี้เป้าราคาพื้นฐาน 1.21บาท

นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR เปิดเผยว่า บริษัทยังมีงานที่อยู่ระหว่างติดตามอีกกว่า 34,052 ล้านบาท แบ่งเป็นเป็นโครงการขนาด 2,000 ล้านบาท 84% และโครงการภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ถึง 58% และอีก 21% เป็นงานเอกชน สำหรับในปี 2564 บริษัทคาดว่าจะสามารถรับงานได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท

ขณะที่ ณ ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ 36,100 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ปี 2564 ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นงานโครงสร้างพื้นฐานที่ 58% งานอุโมงค์ 33% เเละงานประเภทอุตสาหกรรม 7% ซึ่งเป็นงานที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว 19,635 ล้านบาท และที่เหลือ 16,466 เป็นงานที่อยู่ระหว่างรอลงนาม

*รายได้โต 20-30%

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเชื่อว่าเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโต 20-30%หลังไตรมาส 1/2564 บริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิแล้ว 52.18 ล้านบาท เทียบจากปี 2563 บริษัทมีผลขาดทุนอยู่ที่ 240.93 ล้านบาท ซึ่งปีนี้จะได้รับผลดีจากการรับรู้รายได้จากงานในมือ ขณะที่ภาครัฐยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ด้านราคาต้นทุนเหล็กของบริษัท ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 10-15% ปัจจุบันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น 44% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเป็น 25.50 บาท/กก. จากการบริโภคเหล็กของจีนที่เพิ่มขึ้นในการก่อสร้างส่งผลให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น มีการควบคุมการผลิตจากมลภาวะทางอากาศ และการงดใช้ Tax rebate 1.3% กับสินค้าเหล็กส่งออก 146 ชนิด ซึ่งไทยมีการนำเข้า Finished Steel จากจีนสัดส่วนราว 30%จึงทำให้ราคาปรับขึ้นตามไปด้วย

แต่บริษัทได้รับงานจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่จึงมีการทำสัญญาเกี่ยวกับค่าเหล็กที่อาจปรับเปลี่ยนไปอยู่แล้ว ประกอบกับสมาคมรับเหมาก่อสร้างก็ได้มีการทำหนังสือถึงทางรัฐบาลเพื่อขอให้ช่วยออกนโยบายในการกำหนดมาตรฐานราคาเหล็กให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำจนเกินไป ซึ่งทางภาครัฐก็ได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว เมื่อราคาเหล็กปรับขึ้นก็อาจจะกระทบกับอัตรากำไรบ้าง แต่ไม่มากนัก

*เคาะเป้า 1.21 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง NWR แนวโน้มกำไรหลักไตรมาสที่ 2/2564 จะอ่อนลง จากไตรมาสแรกที่กำไรสูงมาก โดยมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ โดยงานรับเหมาก่อสร้างมีรายได้สูง เพราะได้แก้ปัญหาต่างๆ แล้วเสร็จมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วและเริ่มก่อสร้างโครงการใหม่ๆ

ส่วนอสังหาริมทรัพย์มียอดขายรอโอน (Backlog) ที่สูงมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่พอมาถึงไตรมาสที่ 2/2564 กลับได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงกว่า 2 รอบแรก ด้านผลิตภัณฑ์คอนกรีตหรือพรีแฟบ จะฟื้นตัวได้ใน ไตรมาสที่ 2/2564 จากการเริ่มงานสุวรรณภูมิเฟส 3 และงานอื่นๆ

ส่วนโครงการรถไฟทางคู่เป็นส่วน NWR ราว 5 พันล้านบาท หากได้ข้อดีคือ เติม Backlog แต่ข้อเสียคืออัตรากำไรไม่สูง ลดคำแนะนำเป็นเชิงลบ เต็มมูลค่า แม้ขยับราคาพื้นฐานใหม่เป็น 1.21 บาท ราคาหุ้นเข้าสู่โซนแพง P/E ปีนี้ 26.4 เท่า