หากคุณเคยมีคำถามต่างๆ เกี่ยวกับตัวเองเหล่านี้ในหัว ทำไมเราดูหนังเศร้าแล้วหัวเราะ ทำไมเราดูหนังตลกแล้วไม่ตลก ทำไมเราไม่ร้องไห้ตอนแม่เราป่วยหนัก ทำไมบ้านเราไม่ค่อยกอดกัน ทำไมบ้านเราไม่ค่อยบอกรักกัน ทำไมต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทำไมต้องทำตัวโตกว่าอายุ ทำไมชอบคุยกับผู้ใหญ่มากกว่าวัยเดียวกัน ทำไมทนเสียงเด็กร้องไม่ได้ และทำไม ๆๆๆๆๆๆๆขอให้รู้ไว้ว่า... คุณไม่ได้อยู่คนเดียวนะ และวันนี้เราเองก็ได้เดินทางภายในมาจนเจอกับคำตอบของคำถามทั้งหลายในหัวเหล่านั้น กลับมาที่จุดเริ่มเรื่องคือ ชื่อบทความ เราโตมายังไงถึงเป็น (คน) แบบนี้กันนะ เราจะลองเอาความทรงจำในวัยเด็กมาเล่าไปทีละฉาก เท่าที่เราพอจะระลึกได้ เพราะเป็นคนที่เมมโมรี่ต่ำมาก จำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนเด็กๆ น่าจะช่วงประถม เราเล่นที่สนามหญ้ากับพี่ชาย และเราเป็นเด็กผู้หญิงผมยาว ตัวเล็กๆ เราห่างกับพี่ชายประมาณ 3 ปี พี่ชายก็อยากจะเล่นฟุตบอลด้วย เลยเตะบอลเข้ามาที่กลางท้องเราอย่างจัง เราร้อง โอ้ยยยยย คุกเข่ากุมท้อง จำได้ว่าสมัยนั้นอาม่า อาอี๊ พากันเดินมาดูถามว่าเป็นอะไรมากมั้ย ทายาหม่องให้ และบอกว่า เดี๋ยวรอให้แม่กลับบ้านก่อน ให้แม่มาจัดการพี่ชาย เราก็นอนรอไปจนเกือบสี่ทุ่ม แม่เราทำอาชีพค้าขายของในห้างสรรพสินค้าเลยต้องกลับตามเวลาที่ห้างปิด พอกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่แม่ทำหลังจากทุกคนพากันรุมฟ้องแม่เราก็คือ เราจำได้ว่า แม่โมโหพี่ชายเรามาก พร้อมรีบเดินไปหยิบไม้เรียวก้านใหญ่และหนามาก ฟาดลงไปที่กลางหลังพี่ชายเราทันที พี่ชายเราไม่ได้ร้องไห้ และไม่ได้พูดอะไร พูดแค่ว่าก็แค่แกล้งเตะบอลเล่น ไม่คิดว่าจะโดนจริงๆ แล้วแม่ก็อบรมนิดหน่อย เช่น เป็นพี่จะแกล้งน้องทำไม ทำไมไม่ดูแลกัน ส่วนตัวเรานั้นที่นอนเปิดพุงเพื่อรอให้แม่ดูแผลแดงๆเป็นวงใหญ่เท่าขนาดลูกบอล แม่ก็แค่หันมาดูว่าโอเค ไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วแม่ก็เดินขึ้นห้องไปเลย พร้อมอารมณ์ที่โกรธและเหนื่อยจากการทำงาน จบไปหนึ่งฉากฉากต่อไป แน่นอน ถ้าผู้อ่านพอจะคาดเดายุคสมัยของเราได้ เราผู้เล่าที่อายุ 40 กว่าปีแล้ว ครอบครัวเราหนีไม่พ้นพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งแน่นอน จากบ้านเดี่ยวหลังใหญ่มีพี่เลี้ยง ล้มละลายทันที หาบ้านเช่า หนีไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อค่าครองชีพที่ถูกลง ค้าขายอาหารส่งลูกสองคนเรียน จากเหตุการณ์นั้น เราไม่เคยเห็นน้ำตาของแม่เลย เห็นแต่หน้าที่ตึงเครียดกับการบริหารหนี้สิน การโยกย้าย การแก้ปัญหาไปทีละเปราะๆ เราทุกคนต่างรู้ว่าต้องปรับตัว ไม่มีการพูดคุยใดๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีการมาตีโพยตีพายหาคนผิดว่าเพราะใครอะไรยังไง ไม่มีการมาดราม่ากับมรสุมนี้ รู้แต่ว่า ทุกคนต้องยอมรับและปรับตัวกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จบไปหนึ่งฉากฉากต่อไป พี่ชายเราเรียนจบแล้วมีงานทำแล้ว เราเรียนจบแล้วและกำลังหางานทำ ป๊าโทรมาบอกว่า แม่ป่วยเข้าโรงพยาบาลให้มาเยี่ยม เรานั่งรถบัสกลับไป ใช้เวลาประมาณ 8 ชม. เมื่อไปถึง สิ่งแรกที่เราพูดกับแม่คือ เป็นอะไรจ้ะ กินทุเรียนเยอะเหรอช่วงนี้ ด้วยความที่แม่เราเป็นเบาหวาน เลยแซวไปตามประสาว่าน้ำตาลขึ้นหรือป่าว ป๊าบอกว่า อย่าแซวแม่แบบนั้น แล้วก็ดึงเราออกไปคุยด้านนอกห้อง ป๊าบอกว่าแม่เป็น stroke เส้นเลือดตีบในสมองเพราะไขมันอุดตัน ส่งผลให้เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกขวาของร่างกายตั้งแต่แขนถึงขา พูดไม่ได้สื่อสารไม่ได้ ฟังเข้าใจแต่พูดออกมาไม่ได้ พอเราได้ฟังแบบนั้น ในหัวเราคิดอยู่อย่างเดียว จะหาเงินจากไหนมาดูแลแม่ งานยังหาไม่ได้เลย ตอนนั้นจำได้แม่นว่าไม่มีการร้องไห้ เราและป๊านั่งคุยกันด้วยเหตุและผล วางแผนกันว่าต้องทำอะไรต่อ จนกลางคืนพี่ชายตามมาเจอ ก็ยังเหมือนเดิม เราสามคนคุยกัน วางแผน เอายังไงต่อ ไม่มีใครร้องไห้ซักคน จบไปหนึ่งฉากเรื่องการแสดงความรักของบ้านเรา เคยได้ยินคำชมจากแม่ก็คงคำว่า เก่ง คำเดียวสั้นๆ แต่ตอนนั้นก็จำไม่ได้แล้วนะว่าแม่ชมเรื่องอะไร แต่มันสั้นมากจนไม่ได้คิดว่าชม คิดว่าพูดไปงั้น เรากับแม่น่าจะได้กอดกันเพราะกิจกรรมวันแม่ที่โรงเรียนจัด ถ้าปีไหนแม่เราไปร่วมได้ ก็ตามธรรมเนียมแม่นั่งเก้าอี้ ลูกนั่งพื้น สวมกอดกัน คงเป็นครั้งนั้นที่ได้เห็นน้ำตาแม่ เต่เราก็ไม่ได้ร้องไห้ และคิดว่าแม่ร้องทำไมนะ คิดถึงแม่ของแม่เหรอ หรือเหนื่อยกับการเลี้ยงลูก ได้แต่คิดแต่ก็ไม่เคยถาม แค่สงสัยว่าทำไมถึงร้องไห้ตอนนี้ เหตุการณ์อื่น ๆ ไม่เคยเห็น ครั้งหนึ่งเราเป็นแผลที่แขนจากการไปโดนท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์ แผลเราเยิ้มๆ เลยทำให้ผ้าก็อตช์ติดแน่นจนเราไม่กล้าดึงออก เราเดินไปหาแม่แล้วบอกว่า แม่มันเอาไม่ออก แม่เราไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบแขนเราแล้วดึงผ้าออกเลย ฟึ่บ เรายังไม่ทันได้เจ็บเลย รู้แต่เหตุการณ์คือผ่านไปเร็วมาก แล้วตอนนั้นคือคิดว่า โอ้โห แม่โคตรใจเด็ดเลย เรานี่ยึกยืออยู่ตั้งนานไม่กล้าดึง ทำแบบนี้ก็ได้นี่นา จบไปอีกหนึ่งฉาก จากที่เล่ามาทั้งหมด เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับความเป็น (คน) แบบนี้ของเรา เราไม่แปลกใจเลยที่เราไม่ถนัดร้องไห้ เพราะเราเองยังไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้เลย ตอนแม่ป่วยหนัก ป๊าพี่ชายและเรา ก็ไม่ได้ร้องไห้เลย เราจึงโตมาในแบบที่ว่า การร้องไห้ไม่ได้จำเป็น การแสดงออกทางอารมณ์ไม่ได้มีความจำเป็น การพูดเพ้อเจ้อดราม่าไม่ได้จำเป็น มีแต่การยอมรับความจริงโดยเร็ว วางแผน และหาทางออกเท่านั้นที่ต้องทำ เราดูหนังตลกแล้วไม่ตลก เพราะชีวิตของเรามันไม่เห็นมีอะไรตลกเลย มีแต่ความซีเรียส ทุกอย่างอยู่บนตรรกะ การแสดงออกความรักก็ไม่จำเป็นและนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการการเดินทางภายใน หากคุณอยากเข้าใจตัวตนของคุณเองให้มากขึ้น เราขอแนะนำว่า การมองย้อนกลับไปในชีวิตวัยเด็กของเรา การเติบโต การเลี้ยงดูของเรา อาจทำให้เราเข้าใจตัวเราเองได้มากขึ้น และเมื่อเราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เราสามารถจะตั้งคำถามหรือ challenge ตัวเองได้ เช่น การไม่แสดงความรักเลยในแบบที่เราโตมา จริงๆ แล้วมันดีมั้ย ถ้ามันดีอยู่แล้วและเราก็แฮปปี้ในสิ่งที่ตัวเองเป็น ก็จบไป แต่ถ้าเราอยากปรับเปลี่ยนมันในแบบที่เราจะแฮปปี้ขึ้น เราอยากทำอะไร และเราทุกคนเลือกได้เสมอ เลือกทำในสิ่งที่เราอยากทำและมีความสุขกับการเป็นตัวเองมากขึ้นได้เสมอ โดยไม่ต้องขออนุญาตใครเลย คุณเลือกได้!ภาพหน้าปกโดย Nigam Machchhar/ จาก Pexelsภาพที่1โดย Shuvrasankha Paul/จาก Pexelsภาพที่2โดย Anna Nekrashevich/จาก Pexelsภาพที่3โดย Anna Shvets/จาก Pexelsภาพที่4โดย Jonas Ferlin/ จาก Pexels เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !