“เราเจอทารกที่สถานีรถไฟใต้ดิน ตอนนี้เขากลายเป็นลูกชายของเรา”
แดนนี สจวร์ต กำลังรีบไปพบแฟนหนุ่มเพื่อทานอาหารค่ำร่วมกัน ตอนที่เขาวิ่งผ่านอะไรบางอย่างบนพื้นสถานีรถไฟในนิวยอร์ก จากนั้นไม่นานมันได้กลายของล้ำค่าที่สุดในโลกสำหรับเขา
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มของวันที่ 28 ส.ค. ปี 2000 ซึ่งเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงเวลาเร่งด่วนที่แสนวุ่นวายของสถานีรถไฟใต้ดินถนนสาย 14 (14th Street) ในเขตแมนแฮตตันของนครนิวยอร์ก แดนนี วัย 34 ปี มีนัดทานอาหารค่ำร่วมกับ พีต เมอร์คิวริโอ วัย 32 ปี และเขากำลังไปสาย
ทั้งสองรู้จักกัน 3 ปีก่อนหน้านี้ผ่านเพื่อนคนหนึ่งในทีมซอฟต์บอลของพีต หลังจากนั้นแดนนีก็ย้ายเข้าไปอยู่กับพีตและเพื่อนร่วมห้องของเขา แต่ในค่ำวันนี้เขานั่งรถไฟใต้ดินกลับไปเอาจดหมายที่ห้องเช่าเก่า
ตอนที่แดนนีกำลังรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟใต้ดินนั้น สายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง
"ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนตุ๊กตาทารกถูกซุกไว้บนพื้นติดกับกำแพง" แดนนีเล่า
แม้จะรู้สึกสงสัย แต่แดนนียังคงเดินขึ้นบันไดมุ่งหน้าไปที่ทางออกสถานี
"ผมหันกลับไปดูอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเห็นขากำลังขยับ"
แดนนีวิ่งกลับลงไปดู แล้วก็พบว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นตุ๊กตานั้น ที่จริงคือทารกเพศชายที่ถูกห่อเอาไว้ในเสื้อวอร์ม โดยที่มีขาคู่น้อย ๆ โผล่ออกมา
"เขา (ทารก) ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เขาแค่ถูกห่อเอาไว้ด้วยเสื้อวอร์ม และยังคงมีสายสะดือบางส่วนติดอยู่ ผมจึงบอกได้ว่าเขาเป็นเด็กแรกเกิด ผมคิดว่าน่าจะอายุประมาณ 1 วัน" แดนนียังจำรายละเอียดวันนั้นได้แม่นยำ
แดนนีไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่าทารกน้อยถูกทิ้งไว้ที่พื้นสถานีรถไฟใต้ดินได้อย่างไร หรือใครเป็นคนทำ
เด็กน้อยอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงร้อง แต่ยังคงตื่นตัวและดวงตาเบิกกว้าง
"เขามองขึ้นมา และผมก็ลูบหัวเขา จากนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องเล็กน้อย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดดูแปลกประหลาดจนไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงได้ และตอนนั้นเองผมพยายามบอกให้ผู้คนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่มีใครสนใจ"
แดนนีเริ่มตะโกน "ช่วยโทรเรียกตำรวจที" ทว่าไม่มีใครสนใจเขา ถึงแม้จะมีผู้หญิงคนหนึ่งหันมาดูเขา แต่ดูเหมือนเธอจะฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องจึงไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดว่าอะไร
ตอนนั้นเป็นยุคก่อนที่โทรศัพท์มือถือจะเฟื่องฟู แดนนีไม่กล้าอุ้มทารกน้อยขึ้นจากพื้น เขาจึงได้แต่วิ่งขึ้นไปที่ตู้โทรศัพท์ที่ถนนเพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน 911
"ผมเจอทารก" แดนนีพูดละล่ำละลัก แล้วบอกตำแหน่งที่เขาอยู่กับตำรวจ จากนั้นก็วิ่งกลับไปดูว่าหนูน้อยยังอยู่ดีไหม เขารอความช่วยเหลือด้วยความรู้สึกราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์
"ผมคิดว่ามันกินเวลาแค่ไม่กี่นาที แต่มันเหมือนเวลาหยุดนิ่งตอนที่...ผมคิดว่าพวกเขา (ตำรวจ) คงคิดว่านี่เป็นการโทรไปแกล้ง และอาจไม่เชื่อผม ดังนั้นใครสักคนจะต้องโทรแจ้งเหตุอีก และตอนนั้นเองผมก็นึกถึงพีต"
แดนนีวิ่งกลับไปที่ตู้โทรศัพท์อีกครั้ง "ผมพูดละล่ำละลัก 'ผมเจอทารก ผมคิดว่าตำรวจไม่เชื่อผม ช่วยโทรแจ้งพวกเขาให้ที'"
พีต ซึ่งกำลังเฝ้ารอแฟนหนุ่มด้วยความเป็นห่วงเล่าถึงตอนที่ได้ยินเสียงแดนนีว่า ขนที่หลังและคอของเขาลุกชันไปหมด
"เพราะแดนนีไม่ใช่คนชอบพูดเล่น เขาจะไม่พูดอะไรที่ไม่เป็นความจริง" พีต เล่า
พีตรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อไปถึงตำรวจกำลังอุ้มทารกน้อยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หลังจากแดนนีให้ปากคำเสร็จ ทั้งคู่ก็กลับบ้าน
"ผมยังจำได้ตอนที่หันไปหาแดนนีแล้วพูดกับเขาที่ริมถนนขณะตำรวจขับรถออกไปว่า "คุณรู้ไหมว่าคุณจะผูกพันกับเด็กคนนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไปตลอดชีวิต" พีต กล่าว
"แดนนีถามว่าผมหมายความว่าอย่างไร" ผมตอบไปว่า "ในที่สุดเด็กคนนี้ก็จะได้รู้เรื่องในคืนที่เขาถูกพบ และอาจอยากตามหาคนที่ไปพบเขาเข้า บางทีอาจมีทางที่เราจะรู้ว่าเขาถูกรับไปเลี้ยงที่ไหน แล้วส่งของขวัญวันเกิดไปให้เขาทุกปีในวันนี้"
วันรุ่งขึ้น ข่าวการพบทารกในสถานีรถไฟใต้ดินกลายเป็นข่าวใหญ่
"แดนนี สจวร์ต คือพลเมืองดีที่พบทารกน้ำหนัก 7 ปอนด์ (3.17 กก.)" ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งกล่าวระหว่างสัมภาษณ์แดนนีทางโทรทัศน์
ผู้สื่อข่าวอีกรายพูดว่า "ทารกมีเชื้อสายฮิสแปนิก (ลาตินอเมริกา) และมีหย่อมผมสีน้ำตาล"
แดนนีอยากรู้ว่าทารกเป็นอย่างไร เขาจึงไปโรงพยาบาลที่หนูน้อยถูกนำตัวไปตรวจร่างกาย แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไร
แดนนีและพีตกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ โดยแดนนีทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ส่วนพีตเป็นนักเขียนบทละครและเป็นนักออกแบบเว็บไซต์
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน แดนนีก็ได้รับเชิญจากหน่วยงานบริการเยาวชนให้ไปขึ้นให้ปากคำต่อศาลถึงเหตุการณ์ที่เขาเจอเด็กคนนี้ ตอนนั้นเป็นเดือน ธ.ค. ปี 2000 หรือเกือบ 4 เดือนให้หลัง
หลังให้การเสร็จสิ้น ผู้พิพากษาถามว่า "คุณสจวร์ต ดิฉันอยากแจ้งให้ทราบถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ เรามีทารกที่ถูกทอดทิ้ง และเราต้องส่งเขาไปอยู่สถานรับเลี้ยงก่อนที่จะให้คนรับไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยเร็วที่สุด"
ตอนนั้นแดนนีคิดว่า "นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสมดี...จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า 'คุณสนใจจะรับอุปการะเด็กคนนี้ไหมคะ'"
แดนนีมองไปรอบห้องพิจารณาคดี และพบว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา
"ผมคิดว่าทุกคนอ้าปากค้าง รวมถึงผมด้วย ผมบอกว่า 'อยากครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะทำกันได้ง่าย ๆ' จากนั้นผู้พิพากษาก็บอกว่า "มันสามารถทำให้เป็นเรื่องง่ายได้"
โดยทั่วไป กระบวนการรับเด็กไปเป็นบุตรบุญธรรมต้องใช้เวลา 6 - 9 เดือน เพื่อตรวจสอบประวัติของผู้รับบุตรบุญธรรม และการฝึกเลี้ยงเด็ก
"ผมไม่เคยคิดเรื่องการรับเด็กมาเลี้ยงเลย" แดนนีบอก "แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่สามารถหยุดคิดได้ว่า...ผมมีความรู้สึกผูกพัน ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นของขวัญ แล้วคุณจะปฏิเสธของขวัญนี้ได้อย่างไรกัน"
ที่ด้านนอกศาล แดนนีโทรศัพท์หาพีตเพื่อบอกข่าวดี
"ปฏิกิริยาแรกของผมคือได้แต่พูดว่า 'ไม่ ไม่นะ คุณไม่ได้อยากทำแบบนี้ กลับเข้าไปที่ศาลแล้วบอกผู้พิพากษาว่าคุณคิดผิด แค่บอกว่าคุณไม่เอาแล้ว'" พีตเล่า
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างเคร่งเครียดระหว่างแดนนีกับพีตในช่วงสัปดาห์ถัดมา จนทำให้ทั้งคู่เกือบต้องแยกทางกัน
"ผมไม่อยากให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง ผมมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ และนี่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป" พีต กล่าว
เขาเล่าว่าตอนนั้นทั้งคู่ไม่มีเงิน ไม่มีที่ และยังอยู่ร่วมกับรูมเมต แถมพีตยังรู้สึกโกรธแดนนีอยู่นิด ๆ ว่า "คุณตอบตกลงไปได้อย่างไร โดยที่ไม่ปรึกษาผมเสียก่อน"
พีตเล่าต่อว่า "แดนนีพูดขึ้นในตอนหนึ่งว่า 'ผมจะเดินหน้ากับเรื่องนี้ไม่ว่าคุณจะไปด้วยหรือไม่' และผมตอบไปว่า 'คุณเลือกเด็กคนนี้มากกว่าความสัมพันธ์ของเราเหรอ'"
ในตอนนั้นแดนนีบอกกับพีตว่า เขาอยากให้พีตร่วมสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่ถ้าพีตไม่พร้อม เขาก็เข้าใจ และจะเดินหน้ารับทารกคนนี้มาเลี้ยงเองตามลำพัง
พีตจำได้ว่าเขา "สบถคำแย่ ๆ" ใส่แดนนี เช่น "ขอให้โชคดีกับการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวในนิวยอร์ก"
แต่ถึงจะทะเลาะกันขนาดนั้น แต่ในส่วนลึก พีตกลับมีความรู้สึกอยากให้เด็กคนนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตของเขา
ในที่สุดแดนนีก็โน้มน้าวใจให้พีตตามไปเยี่ยมหนูน้อยที่สถานเลี้ยงเด็ก ตอนที่ไปถึงพวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ที่ที่หนูน้อยควรจะอยู่ เด็กชายมีรอยผื่นผ้าอ้อมตั้งแต่สะดือเรื่อยไปถึงรอบเอว ต้นขา และแผ่นหลัง
คนดูแลเด็กพาหนูน้อยมาหาแดนนีและพีต เขาจ้องมองชายทั้งคู่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง แดนนีสังเกตว่าทารกไม่ยอมกะพริบตา และเงียบมาก
ตอนที่แดนนีอุ้มหนูน้อยไว้ในอ้อมกอดเป็นครั้งแรก เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "จำฉันได้ไหม"
เมื่อถึงตาของพีตได้อุ้มบ้าง เขาก็ได้สัมผัสถึง "คลื่นความอบอุ่น" ขึ้นมาในทันใด
พีตเล่าว่า "เด็กน้อยใช้ทั้งมือของเขาบีบนิ้วมือผมเอาไว้แน่น…เขาเอาแต่จ้องมองผม และผมก็เอาแต่จ้องมองเขา มันเหมือนกับว่าเขาพบจุดกดที่นิ้วมือของผมซึ่งช่วยเปิดประตูหัวใจไปสู่สมองของผม และทำให้ผมเห็นในตอนนั้นว่าผมสามารถเป็นพ่ออีกคนของเขาได้"
หลังจากนั้น กระบวนการรับบุตรบุญธรรมก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว มีการไปตรวจเยี่ยมบ้าน การตรวจสอบประวัติ และมีคำถามมากมายที่ต้องตอบ แดนนีและพีตได้รับแจ้งว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าที่พวกเขาจะรับหนูน้อยไปอยู่ที่บ้านได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาเตรียมตัวกันอีกนาน
แต่เมื่อพวกเขาไปขึ้นศาลในวันที่ 20 ธ.ค. เพื่อแสดงเจตจำนงรับอุปการะเด็ก ผู้พิพากษาคนเดิมนั่งเป็นประธาน เธอมองดูปฏิทินบนโต๊ะของเธอ แล้วหันไปหาพีตกับแดนนี
"เธอถามว่า 'พวกคุณอยากได้เขา (เด็ก) ไปเลี้ยงช่วงวันหยุดเทศกาลไหมคะ' ผมคิดว่าเราทั้งคู่ต่างผงกหัวตอบรับ แต่ในใจผมคิดว่า วันเทศกาลไหนกันแน่ ผมหวังว่าเธอจะไม่ได้หมายถึงเทศกาลคริสต์มาส เพราะมันอีกแค่ไหม่กี่วันข้างหน้า"
แต่นั่นคือสิ่งที่ผู้พิพากษาหมายถึง และเธอเริ่มสั่งการเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคดีและทนายความให้เตรียมเด็กให้พร้อมเพื่อให้แดนนีและพีตไปรับมาจากสถานเลี้ยงเด็กในอีก 2 วันข้างหน้า
เมื่อกลับถึงบ้านพีตรีบโทรขอความช่วยเหลือจากครอบครัว
เขาได้เล่าถึงแผนการรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรมและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากครอบครัว
"ผมบอกว่าเราจะตั้งชื่อเขาว่า เควิน และแม่ผมก็ร้องออกมาเสียงดัง เพราะแม่ตั้งชื่อลูกที่เกิดก่อนผม แต่ตายระหว่างคลอดว่า เควิน" พีตเล่า
"นี่จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่หนูน้อยเควินของพวกเขาได้กลับมาหาพวกเขาอีกครั้งในฐานะลูกของลูกชายเกย์ของพวกเขา"
ด้วยความที่มีเวลาเตรียมตัวเพียง 2 วัน ทุกคนจึงต้องวิ่งวุ่น ครอบครัวของพีตช่วยซื้อของใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ ส่วนแดนนีและพีตต่างเร่งอ่านคู่มือเลี้ยงลูก และเปลี่ยนอะพาร์ตเมนต์ของพวกเขาให้กลายเป็นห้องเลี้ยงเด็กที่เต็มไปด้วยกล่องผ้าอ้อมและเตียงนอนเด็ก
วันศุกร์ที่ 22 ธ.ค. ปี 2000 แดนนีและพีตไปรับหนูน้อยเควินจากสถานเลี้ยงเด็ก พวกเขาห่อทารกน้อยไว้ในผ้าห่มอันอบอุ่น แล้วพากันขึ้นรถไฟใต้ดินกลับบ้าน
แดนนีเล่าถึงตอนนั้นว่า "หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา มันเลยยิ่งให้ความรู้สึกที่วิเศษขึ้นไปอีก"
ตอนที่ได้อยู่ด้วยกันสามคนพ่อลูกในค่ำคืนนั้น พวกเขาก็ได้มีโอกาสคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
แดนนีเล่าว่า "ผมจำความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง"
ส่วนหนูน้อยเควิดหลับผล็อยอยู่บนอกของพีต น้ำลายไหลย้อย
กระบวนการรับเควินเป็นบุตรบุญธรรมต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากศาลครอบครัวเขตแมนฮัตตันอยู่ใกล้กับบริเวณ "กราวด์ซีโร" ตอนที่เกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 ในนครนิวยอร์ก แต่ในที่สุดกระบวนการดังกล่าวก็เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 17 ธ.ค. ปี 2002
แดนนี พีต และเควิน ปรับตัวกับการใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว แดนนีจำได้ว่าลูกชายเป็นเด็กที่รักหนังสือ ทุกคืนพ่อทั้งสองจะอ่านนิทานก่อนนอน หรือไม่ก็ร้องเพลงกล่อมเควินจนหลับไป
พีตทำหนังสือภาพที่บอกเล่าเรื่องราวการพบเควินขึ้นมา พอหนูน้อยอายุได้ 3 - 4 ขวบ แดนนีก็อ่านหนังสือเล่มนี้ให้ลูกฟังก่อนเข้านอนทุกคืน
"มันเป็นเรื่องโปรดของลูก" พีต บอก
เควินฟังพ่ออ่านหนังสือเรื่องนี้ให้ฟังอยู่เกือบหนึ่งปี จึงจะเริ่มเข้าใจว่านี่คือเรื่องราวของตัวเอง พีตบอกว่าเมื่อลูกรู้เช่นนั้นเขารู้สึกภูมิใจและตื่นเต้นมาก แล้วเอาหนังสือไปอวดเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน
เมื่อโตขึ้นเควินเริ่มมีความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับครอบครัวผู้ให้กำเนิดเขา
พีตเล่าว่า เวลาที่เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา หรือเวลาที่ออกไปข้างนอก บางครั้งเควินจะชี้ไปที่คนที่ดูเหมือนกับเขา แล้วพูดว่า "ผู้หญิงที่อยู่ตรงโน้นมีสีผิวแบบผม" แต่เขาก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากมาย และไม่ได้หยิบขึ้นมาพูดถึงบ่อยนัก
ตอนเควินอายุได้ 10 ขวบ พีตถามว่าเขาคิดอย่างไรกับเรื่องที่ "ป๊ะป๋าพีต" จะแต่งงานกับ "แด๊ดดี้แดนนี"
ตอนนั้นเป็นปี 2011 ซึ่งนิวยอร์กเป็นรัฐที่ 6 ในสหรัฐฯ ที่อนุมัติให้การสมรสระหว่างคนเพศเดียวกันเป็นเรื่องถูกกฎหมาย
หนุ่มน้อยเควินตื่นเต้นกับความคิดดังกล่าว แล้วหันมาถามพ่อว่า "ผู้พิพากษาทำพิธีแต่งงานให้ได้ไหม"
พีตจึงส่งอีเมลไปยังศาลครอบครัวเขตแมนฮัตตันเพื่อขอให้ผู้พิพากษาคนเดิม "ผู้พิพากษาคูเปอร์" เป็นผู้จดทะเบียนสมรสให้พวกเขา ภายใน 2 ชั่วโมงพวกเขาก็ได้รับอีเมลตอบกลับมาว่าผู้พิพากษามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ผู้พิพากษาอธิบายให้ฟังว่าเมื่อปี 2000 เธอเข้าร่วมโครงการนำร่องที่ดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้ง และมีอำนาจในการเร่งรัดกระบวนการรับบุตรบุญธรรม
ตอนที่เธอเห็นแดนนีขึ้นให้การต่อศาลถึงเรื่องการพบเด็ก เธอมีความคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับหนูน้อยเควินมากที่สุดจึงลองถามว่าเขาสนใจจะรับทารกคนนี้ไปเป็นลูกบุญธรรมไหม และลางสังหรณ์ของเธอก็ถูกต้อง เมื่อเธอได้พบกับหนุ่มน้อยเควินอีกครั้งในการจดทะเบียนสมรสของแดนนีและพีต
แดนนีบอกว่าพิธีดังกล่าวท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ความสุข และความตื่นเต้น
"ผู้หญิงคนนี้คือสาเหตุที่เราได้เป็นครอบครัวเดียวกัน และเป็นสาเหตุที่เราได้แต่งงานกัน…" แดนนี กล่าว
ปัจจุบันเควินอายุ 20 ปี กำลังศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ทารกน้อยที่แดนนีพบนอนอยู่ที่พื้นสถานีรถไฟใต้ดินได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นชายหนุ่มสูงกว่า 6 ฟุต (กว่า 182 ซม.) สูงกว่าพ่อทั้งสองคนของเขา
เควินชอบเล่นกีฬาจานร่อนที่เรียกว่า ultimate frisbee เขาลงแข่งวิ่งมาราธอนหลายรายการ และเป็นนักเต้นของสถาบันการเต้นแห่งชาติตั้งแต่อายุ 9 - 14 ปี ทั้งยังศึกษาการเล่นเปียโนและกีตาร์ด้วยตัวเอง
"เควินเป็นเด็กที่มีสัมมาคารวะ" พีต เล่า "เขาจิตใจดีและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น…เขาเป็นคนช่างสังเกตที่ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจ เขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็มีความเป็นผู้นำด้วย แถมยังเป็นคนตลกมาก"
สามคนพ่อลูกรักการไปเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติด้วยกัน พวกเขายังชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ เช่นการพายเรือคายัก และยังเชียร์บาสเก็ตบอลทีมเดียวกันอย่างทีมนิวยอร์กเม็ตส์
"ผมนึกถึงชีวิตตัวเองไม่ออกเลยถ้ามันไม่ได้ออกมาในรูปนี้" แดนนี ในวัย 55 ปี กล่าว "ชีวิตผมมีคุณค่าและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น มันได้เปลี่ยนการมองโลก และทัศนคติทั้งหมดของผม"
ส่วนพีต ซึ่งปัจจุบันอายุ 52 ปี บอกว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วเขาไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคน แต่ตอนนี้เขากลับจินตนาการไม่ออกยิ่งกว่าที่จะไม่ได้เป็นพ่อคน
"ตอนนั้นผมไม่เคยรู้ว่ามีความรักที่ลึกซึ้งแบบนี้อยู่ในโลก จนกระทั่งลูกชายของผมได้เข้ามาในชีวิตผม"
พีตเขียนหนังสือเด็กบอกเล่าเรื่องราวครอบครัวของเขาที่มีชื่อว่า Our Subway Baby
ผู้พิพากษาคูเปอร์ เป็นนามแฝงที่พีตใช้ในหนังสือของเขา