รีเซต

“เราเจอทารกที่สถานีรถไฟใต้ดิน ตอนนี้เขากลายเป็นลูกชายของเรา”

“เราเจอทารกที่สถานีรถไฟใต้ดิน ตอนนี้เขากลายเป็นลูกชายของเรา”
ข่าวสด
28 พฤษภาคม 2564 ( 07:45 )
43
“เราเจอทารกที่สถานีรถไฟใต้ดิน ตอนนี้เขากลายเป็นลูกชายของเรา”

 

แดนนี สจวร์ต กำลังรีบไปพบแฟนหนุ่มเพื่อทานอาหารค่ำร่วมกัน ตอนที่เขาวิ่งผ่านอะไรบางอย่างบนพื้นสถานีรถไฟในนิวยอร์ก จากนั้นไม่นานมันได้กลายของล้ำค่าที่สุดในโลกสำหรับเขา

 

 

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มของวันที่ 28 ส.ค. ปี 2000 ซึ่งเพิ่งจะผ่านพ้นช่วงเวลาเร่งด่วนที่แสนวุ่นวายของสถานีรถไฟใต้ดินถนนสาย 14 (14th Street) ในเขตแมนแฮตตันของนครนิวยอร์ก แดนนี วัย 34 ปี มีนัดทานอาหารค่ำร่วมกับ พีต เมอร์คิวริโอ วัย 32 ปี และเขากำลังไปสาย

 

 

ทั้งสองรู้จักกัน 3 ปีก่อนหน้านี้ผ่านเพื่อนคนหนึ่งในทีมซอฟต์บอลของพีต หลังจากนั้นแดนนีก็ย้ายเข้าไปอยู่กับพีตและเพื่อนร่วมห้องของเขา แต่ในค่ำวันนี้เขานั่งรถไฟใต้ดินกลับไปเอาจดหมายที่ห้องเช่าเก่า

 

 

 

ตอนที่แดนนีกำลังรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟใต้ดินนั้น สายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง

 

"ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนตุ๊กตาทารกถูกซุกไว้บนพื้นติดกับกำแพง" แดนนีเล่า

 

แม้จะรู้สึกสงสัย แต่แดนนียังคงเดินขึ้นบันไดมุ่งหน้าไปที่ทางออกสถานี

 

"ผมหันกลับไปดูอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเห็นขากำลังขยับ"

 

แดนนีวิ่งกลับลงไปดู แล้วก็พบว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นตุ๊กตานั้น ที่จริงคือทารกเพศชายที่ถูกห่อเอาไว้ในเสื้อวอร์ม โดยที่มีขาคู่น้อย ๆ โผล่ออกมา

 

"เขา (ทารก) ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เขาแค่ถูกห่อเอาไว้ด้วยเสื้อวอร์ม และยังคงมีสายสะดือบางส่วนติดอยู่ ผมจึงบอกได้ว่าเขาเป็นเด็กแรกเกิด ผมคิดว่าน่าจะอายุประมาณ 1 วัน" แดนนียังจำรายละเอียดวันนั้นได้แม่นยำ

แดนนีไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่าทารกน้อยถูกทิ้งไว้ที่พื้นสถานีรถไฟใต้ดินได้อย่างไร หรือใครเป็นคนทำ

 

เด็กน้อยอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงร้อง แต่ยังคงตื่นตัวและดวงตาเบิกกว้าง

 

"เขามองขึ้นมา และผมก็ลูบหัวเขา จากนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องเล็กน้อย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดดูแปลกประหลาดจนไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงได้ และตอนนั้นเองผมพยายามบอกให้ผู้คนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่มีใครสนใจ"

 

 

แดนนีเริ่มตะโกน "ช่วยโทรเรียกตำรวจที" ทว่าไม่มีใครสนใจเขา ถึงแม้จะมีผู้หญิงคนหนึ่งหันมาดูเขา แต่ดูเหมือนเธอจะฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องจึงไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดว่าอะไร

 

 

ตอนนั้นเป็นยุคก่อนที่โทรศัพท์มือถือจะเฟื่องฟู แดนนีไม่กล้าอุ้มทารกน้อยขึ้นจากพื้น เขาจึงได้แต่วิ่งขึ้นไปที่ตู้โทรศัพท์ที่ถนนเพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน 911

 

 

"ผมเจอทารก" แดนนีพูดละล่ำละลัก แล้วบอกตำแหน่งที่เขาอยู่กับตำรวจ จากนั้นก็วิ่งกลับไปดูว่าหนูน้อยยังอยู่ดีไหม เขารอความช่วยเหลือด้วยความรู้สึกราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์

 

 

"ผมคิดว่ามันกินเวลาแค่ไม่กี่นาที แต่มันเหมือนเวลาหยุดนิ่งตอนที่...ผมคิดว่าพวกเขา (ตำรวจ) คงคิดว่านี่เป็นการโทรไปแกล้ง และอาจไม่เชื่อผม ดังนั้นใครสักคนจะต้องโทรแจ้งเหตุอีก และตอนนั้นเองผมก็นึกถึงพีต"

 

 

แดนนีวิ่งกลับไปที่ตู้โทรศัพท์อีกครั้ง "ผมพูดละล่ำละลัก 'ผมเจอทารก ผมคิดว่าตำรวจไม่เชื่อผม ช่วยโทรแจ้งพวกเขาให้ที'"

 

 

พีต ซึ่งกำลังเฝ้ารอแฟนหนุ่มด้วยความเป็นห่วงเล่าถึงตอนที่ได้ยินเสียงแดนนีว่า ขนที่หลังและคอของเขาลุกชันไปหมด

 

 

"เพราะแดนนีไม่ใช่คนชอบพูดเล่น เขาจะไม่พูดอะไรที่ไม่เป็นความจริง" พีต เล่า

P

พีตรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อไปถึงตำรวจกำลังอุ้มทารกน้อยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หลังจากแดนนีให้ปากคำเสร็จ ทั้งคู่ก็กลับบ้าน

 

 

"ผมยังจำได้ตอนที่หันไปหาแดนนีแล้วพูดกับเขาที่ริมถนนขณะตำรวจขับรถออกไปว่า "คุณรู้ไหมว่าคุณจะผูกพันกับเด็กคนนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไปตลอดชีวิต" พีต กล่าว

 

 

"แดนนีถามว่าผมหมายความว่าอย่างไร" ผมตอบไปว่า "ในที่สุดเด็กคนนี้ก็จะได้รู้เรื่องในคืนที่เขาถูกพบ และอาจอยากตามหาคนที่ไปพบเขาเข้า บางทีอาจมีทางที่เราจะรู้ว่าเขาถูกรับไปเลี้ยงที่ไหน แล้วส่งของขวัญวันเกิดไปให้เขาทุกปีในวันนี้"

 

 

วันรุ่งขึ้น ข่าวการพบทารกในสถานีรถไฟใต้ดินกลายเป็นข่าวใหญ่

 

 

"แดนนี สจวร์ต คือพลเมืองดีที่พบทารกน้ำหนัก 7 ปอนด์ (3.17 กก.)" ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งกล่าวระหว่างสัมภาษณ์แดนนีทางโทรทัศน์

 

 

ผู้สื่อข่าวอีกรายพูดว่า "ทารกมีเชื้อสายฮิสแปนิก (ลาตินอเมริกา) และมีหย่อมผมสีน้ำตาล"

 

 

แดนนีอยากรู้ว่าทารกเป็นอย่างไร เขาจึงไปโรงพยาบาลที่หนูน้อยถูกนำตัวไปตรวจร่างกาย แต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไร

 

 

แดนนีและพีตกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ โดยแดนนีทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ส่วนพีตเป็นนักเขียนบทละครและเป็นนักออกแบบเว็บไซต์

 

 

ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน แดนนีก็ได้รับเชิญจากหน่วยงานบริการเยาวชนให้ไปขึ้นให้ปากคำต่อศาลถึงเหตุการณ์ที่เขาเจอเด็กคนนี้ ตอนนั้นเป็นเดือน ธ.ค. ปี 2000 หรือเกือบ 4 เดือนให้หลัง

 

 

หลังให้การเสร็จสิ้น ผู้พิพากษาถามว่า "คุณสจวร์ต ดิฉันอยากแจ้งให้ทราบถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ เรามีทารกที่ถูกทอดทิ้ง และเราต้องส่งเขาไปอยู่สถานรับเลี้ยงก่อนที่จะให้คนรับไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยเร็วที่สุด"

 

 

ตอนนั้นแดนนีคิดว่า "นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสมดี...จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า 'คุณสนใจจะรับอุปการะเด็กคนนี้ไหมคะ'"

 

 

แดนนีมองไปรอบห้องพิจารณาคดี และพบว่าสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา

 

 

"ผมคิดว่าทุกคนอ้าปากค้าง รวมถึงผมด้วย ผมบอกว่า 'อยากครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะทำกันได้ง่าย ๆ' จากนั้นผู้พิพากษาก็บอกว่า "มันสามารถทำให้เป็นเรื่องง่ายได้"

 

 

โดยทั่วไป กระบวนการรับเด็กไปเป็นบุตรบุญธรรมต้องใช้เวลา 6 - 9 เดือน เพื่อตรวจสอบประวัติของผู้รับบุตรบุญธรรม และการฝึกเลี้ยงเด็ก

 

 

"ผมไม่เคยคิดเรื่องการรับเด็กมาเลี้ยงเลย" แดนนีบอก "แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่สามารถหยุดคิดได้ว่า...ผมมีความรู้สึกผูกพัน ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นของขวัญ แล้วคุณจะปฏิเสธของขวัญนี้ได้อย่างไรกัน"

ที่ด้านนอกศาล แดนนีโทรศัพท์หาพีตเพื่อบอกข่าวดี

 

"ปฏิกิริยาแรกของผมคือได้แต่พูดว่า 'ไม่ ไม่นะ คุณไม่ได้อยากทำแบบนี้ กลับเข้าไปที่ศาลแล้วบอกผู้พิพากษาว่าคุณคิดผิด แค่บอกว่าคุณไม่เอาแล้ว'" พีตเล่า

 

 

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างเคร่งเครียดระหว่างแดนนีกับพีตในช่วงสัปดาห์ถัดมา จนทำให้ทั้งคู่เกือบต้องแยกทางกัน

 

 

"ผมไม่อยากให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง ผมมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ และนี่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป" พีต กล่าว

 

 

เขาเล่าว่าตอนนั้นทั้งคู่ไม่มีเงิน ไม่มีที่ และยังอยู่ร่วมกับรูมเมต แถมพีตยังรู้สึกโกรธแดนนีอยู่นิด ๆ ว่า "คุณตอบตกลงไปได้อย่างไร โดยที่ไม่ปรึกษาผมเสียก่อน"

 

 

พีตเล่าต่อว่า "แดนนีพูดขึ้นในตอนหนึ่งว่า 'ผมจะเดินหน้ากับเรื่องนี้ไม่ว่าคุณจะไปด้วยหรือไม่' และผมตอบไปว่า 'คุณเลือกเด็กคนนี้มากกว่าความสัมพันธ์ของเราเหรอ'"

 

 

ในตอนนั้นแดนนีบอกกับพีตว่า เขาอยากให้พีตร่วมสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่ถ้าพีตไม่พร้อม เขาก็เข้าใจ และจะเดินหน้ารับทารกคนนี้มาเลี้ยงเองตามลำพัง

 

 

พีตจำได้ว่าเขา "สบถคำแย่ ๆ" ใส่แดนนี เช่น "ขอให้โชคดีกับการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวในนิวยอร์ก"

 

 

แต่ถึงจะทะเลาะกันขนาดนั้น แต่ในส่วนลึก พีตกลับมีความรู้สึกอยากให้เด็กคนนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตของเขา

 

 

ในที่สุดแดนนีก็โน้มน้าวใจให้พีตตามไปเยี่ยมหนูน้อยที่สถานเลี้ยงเด็ก ตอนที่ไปถึงพวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ที่ที่หนูน้อยควรจะอยู่ เด็กชายมีรอยผื่นผ้าอ้อมตั้งแต่สะดือเรื่อยไปถึงรอบเอว ต้นขา และแผ่นหลัง

 

 

คนดูแลเด็กพาหนูน้อยมาหาแดนนีและพีต เขาจ้องมองชายทั้งคู่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง แดนนีสังเกตว่าทารกไม่ยอมกะพริบตา และเงียบมาก

 

 

ตอนที่แดนนีอุ้มหนูน้อยไว้ในอ้อมกอดเป็นครั้งแรก เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "จำฉันได้ไหม"

 

 

เมื่อถึงตาของพีตได้อุ้มบ้าง เขาก็ได้สัมผัสถึง "คลื่นความอบอุ่น" ขึ้นมาในทันใด

 

 

พีตเล่าว่า "เด็กน้อยใช้ทั้งมือของเขาบีบนิ้วมือผมเอาไว้แน่น…เขาเอาแต่จ้องมองผม และผมก็เอาแต่จ้องมองเขา มันเหมือนกับว่าเขาพบจุดกดที่นิ้วมือของผมซึ่งช่วยเปิดประตูหัวใจไปสู่สมองของผม และทำให้ผมเห็นในตอนนั้นว่าผมสามารถเป็นพ่ออีกคนของเขาได้"

หลังจากนั้น กระบวนการรับบุตรบุญธรรมก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว มีการไปตรวจเยี่ยมบ้าน การตรวจสอบประวัติ และมีคำถามมากมายที่ต้องตอบ แดนนีและพีตได้รับแจ้งว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าที่พวกเขาจะรับหนูน้อยไปอยู่ที่บ้านได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาเตรียมตัวกันอีกนาน

 

 

แต่เมื่อพวกเขาไปขึ้นศาลในวันที่ 20 ธ.ค. เพื่อแสดงเจตจำนงรับอุปการะเด็ก ผู้พิพากษาคนเดิมนั่งเป็นประธาน เธอมองดูปฏิทินบนโต๊ะของเธอ แล้วหันไปหาพีตกับแดนนี

 

 

"เธอถามว่า 'พวกคุณอยากได้เขา (เด็ก) ไปเลี้ยงช่วงวันหยุดเทศกาลไหมคะ' ผมคิดว่าเราทั้งคู่ต่างผงกหัวตอบรับ แต่ในใจผมคิดว่า วันเทศกาลไหนกันแน่ ผมหวังว่าเธอจะไม่ได้หมายถึงเทศกาลคริสต์มาส เพราะมันอีกแค่ไหม่กี่วันข้างหน้า"

 

 

แต่นั่นคือสิ่งที่ผู้พิพากษาหมายถึง และเธอเริ่มสั่งการเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคดีและทนายความให้เตรียมเด็กให้พร้อมเพื่อให้แดนนีและพีตไปรับมาจากสถานเลี้ยงเด็กในอีก 2 วันข้างหน้า

 

 

เมื่อกลับถึงบ้านพีตรีบโทรขอความช่วยเหลือจากครอบครัว

เขาได้เล่าถึงแผนการรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรมและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากครอบครัว

"ผมบอกว่าเราจะตั้งชื่อเขาว่า เควิน และแม่ผมก็ร้องออกมาเสียงดัง เพราะแม่ตั้งชื่อลูกที่เกิดก่อนผม แต่ตายระหว่างคลอดว่า เควิน" พีตเล่า

 

 

"นี่จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่หนูน้อยเควินของพวกเขาได้กลับมาหาพวกเขาอีกครั้งในฐานะลูกของลูกชายเกย์ของพวกเขา"

ด้วยความที่มีเวลาเตรียมตัวเพียง 2 วัน ทุกคนจึงต้องวิ่งวุ่น ครอบครัวของพีตช่วยซื้อของใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ ส่วนแดนนีและพีตต่างเร่งอ่านคู่มือเลี้ยงลูก และเปลี่ยนอะพาร์ตเมนต์ของพวกเขาให้กลายเป็นห้องเลี้ยงเด็กที่เต็มไปด้วยกล่องผ้าอ้อมและเตียงนอนเด็ก

 

 

วันศุกร์ที่ 22 ธ.ค. ปี 2000 แดนนีและพีตไปรับหนูน้อยเควินจากสถานเลี้ยงเด็ก พวกเขาห่อทารกน้อยไว้ในผ้าห่มอันอบอุ่น แล้วพากันขึ้นรถไฟใต้ดินกลับบ้าน

 

 

แดนนีเล่าถึงตอนนั้นว่า "หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา มันเลยยิ่งให้ความรู้สึกที่วิเศษขึ้นไปอีก"

 

 

ตอนที่ได้อยู่ด้วยกันสามคนพ่อลูกในค่ำคืนนั้น พวกเขาก็ได้มีโอกาสคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

 

แดนนีเล่าว่า "ผมจำความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง"

 

ส่วนหนูน้อยเควิดหลับผล็อยอยู่บนอกของพีต น้ำลายไหลย้อย

 

กระบวนการรับเควินเป็นบุตรบุญธรรมต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากศาลครอบครัวเขตแมนฮัตตันอยู่ใกล้กับบริเวณ "กราวด์ซีโร" ตอนที่เกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 ในนครนิวยอร์ก แต่ในที่สุดกระบวนการดังกล่าวก็เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 17 ธ.ค. ปี 2002

 

 

แดนนี พีต และเควิน ปรับตัวกับการใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว แดนนีจำได้ว่าลูกชายเป็นเด็กที่รักหนังสือ ทุกคืนพ่อทั้งสองจะอ่านนิทานก่อนนอน หรือไม่ก็ร้องเพลงกล่อมเควินจนหลับไป

 

 

พีตทำหนังสือภาพที่บอกเล่าเรื่องราวการพบเควินขึ้นมา พอหนูน้อยอายุได้ 3 - 4 ขวบ แดนนีก็อ่านหนังสือเล่มนี้ให้ลูกฟังก่อนเข้านอนทุกคืน

 

 

"มันเป็นเรื่องโปรดของลูก" พีต บอก

 

เควินฟังพ่ออ่านหนังสือเรื่องนี้ให้ฟังอยู่เกือบหนึ่งปี จึงจะเริ่มเข้าใจว่านี่คือเรื่องราวของตัวเอง พีตบอกว่าเมื่อลูกรู้เช่นนั้นเขารู้สึกภูมิใจและตื่นเต้นมาก แล้วเอาหนังสือไปอวดเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน

 

เมื่อโตขึ้นเควินเริ่มมีความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับครอบครัวผู้ให้กำเนิดเขา

 

 

พีตเล่าว่า เวลาที่เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา หรือเวลาที่ออกไปข้างนอก บางครั้งเควินจะชี้ไปที่คนที่ดูเหมือนกับเขา แล้วพูดว่า "ผู้หญิงที่อยู่ตรงโน้นมีสีผิวแบบผม" แต่เขาก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากมาย และไม่ได้หยิบขึ้นมาพูดถึงบ่อยนัก

 

 

ตอนเควินอายุได้ 10 ขวบ พีตถามว่าเขาคิดอย่างไรกับเรื่องที่ "ป๊ะป๋าพีต" จะแต่งงานกับ "แด๊ดดี้แดนนี"

 

ตอนนั้นเป็นปี 2011 ซึ่งนิวยอร์กเป็นรัฐที่ 6 ในสหรัฐฯ ที่อนุมัติให้การสมรสระหว่างคนเพศเดียวกันเป็นเรื่องถูกกฎหมาย

 

หนุ่มน้อยเควินตื่นเต้นกับความคิดดังกล่าว แล้วหันมาถามพ่อว่า "ผู้พิพากษาทำพิธีแต่งงานให้ได้ไหม"

 

 

พีตจึงส่งอีเมลไปยังศาลครอบครัวเขตแมนฮัตตันเพื่อขอให้ผู้พิพากษาคนเดิม "ผู้พิพากษาคูเปอร์" เป็นผู้จดทะเบียนสมรสให้พวกเขา ภายใน 2 ชั่วโมงพวกเขาก็ได้รับอีเมลตอบกลับมาว่าผู้พิพากษามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

P

เมื่อได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ผู้พิพากษาอธิบายให้ฟังว่าเมื่อปี 2000 เธอเข้าร่วมโครงการนำร่องที่ดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้ง และมีอำนาจในการเร่งรัดกระบวนการรับบุตรบุญธรรม

 

 

ตอนที่เธอเห็นแดนนีขึ้นให้การต่อศาลถึงเรื่องการพบเด็ก เธอมีความคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับหนูน้อยเควินมากที่สุดจึงลองถามว่าเขาสนใจจะรับทารกคนนี้ไปเป็นลูกบุญธรรมไหม และลางสังหรณ์ของเธอก็ถูกต้อง เมื่อเธอได้พบกับหนุ่มน้อยเควินอีกครั้งในการจดทะเบียนสมรสของแดนนีและพีต

 

 

แดนนีบอกว่าพิธีดังกล่าวท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ความสุข และความตื่นเต้น

 

"ผู้หญิงคนนี้คือสาเหตุที่เราได้เป็นครอบครัวเดียวกัน และเป็นสาเหตุที่เราได้แต่งงานกัน…" แดนนี กล่าว

 

ปัจจุบันเควินอายุ 20 ปี กำลังศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ทารกน้อยที่แดนนีพบนอนอยู่ที่พื้นสถานีรถไฟใต้ดินได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นชายหนุ่มสูงกว่า 6 ฟุต (กว่า 182 ซม.) สูงกว่าพ่อทั้งสองคนของเขา

 

 

เควินชอบเล่นกีฬาจานร่อนที่เรียกว่า ultimate frisbee เขาลงแข่งวิ่งมาราธอนหลายรายการ และเป็นนักเต้นของสถาบันการเต้นแห่งชาติตั้งแต่อายุ 9 - 14 ปี ทั้งยังศึกษาการเล่นเปียโนและกีตาร์ด้วยตัวเอง

 

 

"เควินเป็นเด็กที่มีสัมมาคารวะ" พีต เล่า "เขาจิตใจดีและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น…เขาเป็นคนช่างสังเกตที่ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจ เขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็มีความเป็นผู้นำด้วย แถมยังเป็นคนตลกมาก"

สามคนพ่อลูกรักการไปเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติด้วยกัน พวกเขายังชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ เช่นการพายเรือคายัก และยังเชียร์บาสเก็ตบอลทีมเดียวกันอย่างทีมนิวยอร์กเม็ตส์

 

 

"ผมนึกถึงชีวิตตัวเองไม่ออกเลยถ้ามันไม่ได้ออกมาในรูปนี้" แดนนี ในวัย 55 ปี กล่าว "ชีวิตผมมีคุณค่าและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น มันได้เปลี่ยนการมองโลก และทัศนคติทั้งหมดของผม"

 

 

ส่วนพีต ซึ่งปัจจุบันอายุ 52 ปี บอกว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วเขาไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคน แต่ตอนนี้เขากลับจินตนาการไม่ออกยิ่งกว่าที่จะไม่ได้เป็นพ่อคน

 

 

"ตอนนั้นผมไม่เคยรู้ว่ามีความรักที่ลึกซึ้งแบบนี้อยู่ในโลก จนกระทั่งลูกชายของผมได้เข้ามาในชีวิตผม"

 

พีตเขียนหนังสือเด็กบอกเล่าเรื่องราวครอบครัวของเขาที่มีชื่อว่า Our Subway Baby

 

ผู้พิพากษาคูเปอร์ เป็นนามแฝงที่พีตใช้ในหนังสือของเขา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง