สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์ในการเข้าคณะอินเตอร์ของเราในขณะที่เราเรียนโรงเรียนไทยที่ต่างจังหวัดค่ะ ฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่างมากจนตอนนี้เป็นนิสิตจุฬาอย่างเป็นทางการแล้ว สภาพจิตใจค่อย ๆ ดีขึ้น ฮ่า ๆ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันหนักหนาจริง ๆ ค่ะ เราคิดว่าบทความเดียวไม่จบแน่ เพราะบอกหมดเปลือก ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความทรงจำด้วยว่าเราขี้เกียจตลอดกาลจริง ๆ ฝากติดตามด้วยนะคะ มาเริ่มพาร์ทแรกกันเลย! เราเรียนโรงเรียนไทยมาตลอดชีวิตค่ะ แต่ชอบค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ช่วงมัธยมต้นเลยตั้งใจว่าจะสอบไปแลกเปลี่ยนเอาประสบการณ์และภาษาให้ได้ เราสอบและได้ไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกาช่วงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ค่ะ โรงเรียนมัธยมที่ไทยเราอยู่ห่างจากกทม.ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่อนข้างจะเป็นโรงเรียนแนวหน้าของจังหวัด มั้ง บรรยากาศโรงเรียนสุดชิลล์ เราเลยไม่ได้ค้นหาตัวเองมากมาย แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ก็เท่านั้น ตอนมัธยมปลายก็เรียนโปรแกรมวิทย์-คณิตทั่วไปเลย โดยถ้าไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมาจะต้องซ้ำชั้นอีก 1 ปี เราจึงต้องซ้ำชั้นค่ะ จากที่จะเป็น Dek64 ก็กลายมาเป็น Dek65 ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะเข้าคณะอะไรดี ตอนกลับมาจากการไปแลกเปลี่ยนเราก็โดนส่งตัวกลับกะทันหันเนื่องจากสถานการณ์โควิดระบาดที่สหรัฐอเมริกา จากที่จะได้ไป 10 เดือนเราเลยถูกส่งตัวกลับขณะที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเพียง 7 เดือนเท่านั้น นึกแล้วเสียใจมากค่ะ ซึ่งตอนกลับมาเราต้องกักตัวที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 14 วัน เราได้ใช้เวลาอยู่คนเดียว เรียนออนไลน์กับโรงเรียนที่อเมริกานิดหน่อย ช่วงนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเรากลับไทยมาครั้งนี้อายุเราก็อยู่มัธยม 6 แล้วสิ แต่จะเข้าคณะอะไรยังไม่รู้เลย สรุปแล้วเราชอบอะไรกันแน่นะ แล้วคำว่า "เทคโนโลยี" ก็เด้งเข้ามาในหัวค่ะ เราเลยค้นหาคณะเกี่ยวกับเทคโนโลยี ไอที สารสนเทศ คอมพิวเตอร์ จนไปเจอคณะหนึ่งที่ชื่อว่า ISE ตอนนั้นสมองโล่งสุด ๆ จากใจตอนนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะว่ามีคณะนี้ด้วย เราทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าคณะนี้คือ International School of Engineering หรือก็คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาคอินเตอร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี่เองค่ะ มีทั้งหมด 5 สาขาให้เลือก แต่ตอนนั้นสายตามันจับจ้องไปแต่คำว่า ICE ซึ่งเป็นสาขาวิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสารค่ะ จากที่เราหาข้อมูลตอนนั้นสาขานี้เหมือนเป็นการนำวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และวิศวกรรมอุสาหการมารวมกันค่ะ ตอนนั้นตาเราลุกวาว มันเหมือนเป็นการรวมสิ่งที่เราชอบไว้ในสาขาเดียวกัน เลยคิดว่าเราเลือกคณะที่อยากเข้าได้แล้ว จากนั้นต้องไปทำความเข้าใจการสอบเข้าคณะอินเตอร์ใหม่ค่ะ เหนื่อยมากเพราะต่างจากภาคไทยโดยสิ้นเชิง เราจะต้องสอบ SAT Math, SAT Math Level 2, SAT Physics, SAT Chemistry รวมไปถึง IELTS ด้วย ประกอบกับเราเป็นคนที่ไม่อ่านหนังสือ ขี้เกียจมากกกกกกกก ตอนเรียนที่โรงเรียนปกติได้เกียรติบัตรเรียนดีทุกปีเพราะเขาเอาเกรดเฉลี่ย 3.50 ขึ้นไป (ได้เกรดเยอะเพราะส่งงานประจำ T_T) แต่เราไม่เรียนพิเศษวิทย์คณิตตั้งแต่ขึ้นมัธยมมาเลยค่ะ เราเรียนในห้อง ทำการบ้านส่งตามเวลาเท่านั้น เราไม่ชอบเรียนเรื่องวิชาการจริง ๆ หลายคนอาจจะหงุดหงิดตอนอ่านบทความนี้ได้ คือเราไม่เอาอะไรเลยค่ะ เพราะความขี้เกียจล้วน ๆ แต่ทำไงได้ เราอยากเข้าคณะนี้ แล้วตอนนั้นถ้ากลับไทยก็จะต้องซ้ำชั้นมัธยม 5 อีก ช่วงนั้นเริ่มเกิดความสับสนในชีวิตค่ะ เราจึงตัดสินใจสอบเทียบ เป็นการสอบ GED เทียบว่าเราจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ค่าสอบก็เจ็บแสบ ถ้ารวมค่าเอกสารต่าง ๆ ด้วยแล้วบวกกับเราสอบครั้งเดียวผ่านทุกรอบ จะเสียเงินไปประมาณ 15,000 บาทค่ะ เราสอบ GED ผ่านหลังจากเรารู้ตัวว่าจะเข้า ISE ประมาณหนึ่งเดือนกว่า ๆ เท่านั้น เกณฑ์ผ่านของ GED แต่ละวิชาคือ 145 คะแนนจาก 200 ค่ะ นี่เป็นคะแนนของเรา จำไม่ได้แล้วว่าเตรียมตัวอย่างไร เหมือนตอนนั้นเพิ่งกลับจากแลกเปลี่ยนเลยได้ใช้ความรู้ตอนนั้นมาช่วยทำข้อสอบค่ะ อย่างวิชาสังคม ข้อสอบจะออกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อเมริกาเลย ซึ่งเราเคยเรียนมาแล้วบ้างค่ะ จากนั้นลุย IELTS ต่อค่ะ เราซื้อคอร์สมาและลองเรียน ลองทำ เราพอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษจากการไปแลกเปลี่ยนมาบ้าง แต่เราได้แค่ Active Skills นะคะ (ฟังและพูด) การอ่านและเขียนเราพึ่งดวงเลย เรียนได้ประมาณ 1 เดือนเราก็ลงสอบค่ะ ค่าสอบก็แพง เราเลยตั้งใจว่าจะสอบรอบเดียว แต่เส้นทางชีวิตมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบน่ะสิ เราสอบเสร็จแล้วได้ Band 6.5 ค่ะ ซึ่งเป็นคะแนนที่ไม่น่าพึงพอใจเลยถ้าจะเข้า ISE แล้ว คะแนนเราเกือบจะถูกปัดไป Band 7.0 แล้วด้วย ตอนนั้นก็เสียใจมาก วันที่ไปสอบเราจองสอบที่กรุงเทพฯค่ะ เนื่องจากเราอยู่ต่างจังหวัดจะใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงในการเดินทาง เราออกจากบ้านแต่เช้า ผล็อยหลับบนรถ ตื่นมาเลยปวดหัวไปหมด และพาร์ทแรกของการสอบ IELTS ก็เป็นการฟัง เราเลยฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ แต่วันนั้นก็แบกสังขารจนจบการสอบได้ พาร์ทสุดท้ายเป็นการพูด เราก็เข้าไปพูดกับกรรมการ นั่งห่างกันประมาณ 1 เมตร เราใส่มาส์กค่ะ กรรมการก็ใส่ ตอนนั้นต้องพยายามฟังเขาให้ออก แต่เราพูดไปค่อนข้างไหลลื่น แม้คำถามอาจจะดูเป็นคำถามประกวดนางงามไปนิด แต่หลังสอบเสร็จเราได้คะแนนการพูดมากกว่าพาร์ทอื่นเยอะมากค่ะ ซึ่งเราได้ Band 7.5 มา เรียกได้ว่าการพูดเป็นการฉุดพาร์ทอื่นขึ้นมามาก ๆ เลย และนี่เป็นคะแนน IELTS ของเราค่ะ ตอนนั้นเราก็โอเค สอบเสร็จไป 2 อย่างแล้ว จากนี้จะลุยสอบ SAT แล้วนะ ซึ่งเราก็ไม่รู้อะไรเลยค่ะ ไม่ถามใครด้วยนะตอนนั้น งงมาก คนที่โรงเรียนก็ไม่มีใครจะเข้าคณะนี้ เราโดดเดี่ยวมาก เราไม่มีพี่ให้ถามเรื่องมหาลัย สู้ชีวิตสุด ๆ เราลองลงสอบ SAT Sublects 3 วิชา เป็นการสอบ SAT ครั้งแรก ตอนนั้นน่าจะยังไม่ได้เรียนพิเศษอะไรค่ะ ลองสนามเฉย ๆ และนี่คือคะแนนของเรา คะแนนมันก็สมกับความสามารถของเราตอนนั้นแหละค่ะ จากภาพข้างบนจะเห็นเลยว่าไม่มีวิชาไหนถึง 600! ซึ่งตามสถิติคนที่ติด ISE รอบแรกในแต่ละปี 95% จะมีคะแนน SAT 800 เต็มอยู่อย่างน้อย 1 วิชา แล้วยิ่งคนที่อันดับต้นๆเลยจะได้ 800 กันหมดเลยค่ะ คะแนนของเราตอนนี้ยังสมัครไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะต้องได้ 600 หรือ 620 คะแนนขึ้นไปค่ะ เดือนต่อมาเราเลยไปสอบ SAT ปกติค่ะ ซึ่งจะต้องสอบทั้งวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ แต่คณะเราไม่ต้องใช้คะแนนพาร์ทอังกฤษเลยเข้าไปดูข้อสอบและลองทำเฉย ๆ แบบไม่เครียดมาก เราก็สอบไปเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าจะโดนโจทย์ SAT Math หลอกค่ะ ตอนนั้นเป็นรอบ SAT Sep 2020 และนี่คือคะแนนการสอบ SAT ครั้งแรกของเรา ใช่แล้วค่ะ เราได้แค่นี้แหละ ทางคณะประกาศเกณฑ์ขั้นต่ำไว้ว่าจะต้องได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ 620 ขึ้นไป ถ้ายื่นคะแนนนี้ไปยังไงก็ไม่ติด ทีนี้เราลองสอบหมดทุกวิชาแล้ว เราเลยขอที่บ้านเรียนพิเศษดูค่ะ เราไม่เคยเรียนเลยทำตัวไม่ค่อยถูก เราเลยลองเรียนพิเศษตัวต่อตัวกับพี่มหาลัยคนหนึ่ง วิชา SAT Math Level 2 ค่ะ เราเรียนไปเรื่อย ๆ จนจบแต่ก็รู้สึกว่ามันยังขาดอะไรไป เราไม่รู้ตัวเลย ลองทำข้อสอบก็แล้ว แต่ไม่คิดแก้ข้อที่ผิดค่ะ (เล่าประสบการณ์นะคะ ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ใครที่กำลังเตรียมตัวสอบแนะนำให้อุดรอยรั่วให้หมดค่ะ) จากนั้นลองสอบแล้วคะแนนก็กองอยู่ที่เดิม ๆ เราฝืนตัวเองมาก เนื้อหาเราไม่แม่นแต่เราลงสอบแบบผลาญเงินไปเยอะมากค่ะ ซึ่งไม่แนะนำให้ทำตามอย่างมาก ขั้นตอนการสอบควรจะเป็นการดูโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมด อ่านเก็บไปทีละบท จับคอนเซปต์ ฝึกทำโจทย์ แก้ข้อผิดพลาด ทำข้อสอบแบบจับเวลา ประมาณนี้ค่ะ คะแนนดีกว่าเราแน่นอน ต่อไปนี้จะให้ดูคะแนนที่เราไปสอบมาช่วงนั้นนะคะ จะเห็นว่าเราไม่มีพัฒนาการที่ดีเลย เอาล่ะ บทความนี้เผาตัวเองจริง ๆ แต่อยากให้คำแนะนำคนที่เตรียมตัวสอบจริง ๆ ค่ะ ทุกการสอบเลยนะ ตอนแรกเราไม่รู้ด้วยว่าสุขภาพสำคัญ เราค่อนข้างโหมร่างกาย วันก่อนสอบเราก็ตื่นเต้นนอนไม่พอ ไปเจอข้อสอบก็มึนทุกรอบค่ะ ดังนั้นนอกจากเราจะต้องอ่านหนังสือ ฝึกทำโจทย์แล้ว ไม่ควรหักโหมร่างกายจนเกินไป ควรทำงานอดิเรกหรือหาสิ่งผ่อนคลายด้วย แต่ละคนมีสไตล์การอ่านหนังสือไม่เหมือนกัน ต้องลองหาทางที่เหมาะกับตัวเองที่สุดนะคะ และสิ่งที่สำคัญมากคือการนอน นอน นอน นอนอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง เราว่าดีมากเลย และกินอาหารให้เหมาะสมครบถ้วนด้วยนะคะ อันที่จริง เรามีคณะสำรองด้วยค่ะ นั่นก็คือ SIIT หรือสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรค่ะ เราตั้งใจจะเรียนสาขาวิศวกรรมดิจิทัลนั่นเอง ซึ่งสามารถใช้คะแนน SAT ยื่นได้ แต่ดวงเรามันอับเสมอค่ะ เนื่องจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำหนดเกณฑ์คะแนนสอบเทียบในปีนั้นไว้ว่าจะต้องได้คะแนน GED มากกว่า 165 คะแนนในทุกรายวิชา เราเลยไม่สามารถยื่น SIIT ได้ ก็ได้แต่จำยอมเข้าใจค่ะ ปี 2020 แผนการเข้ามหาวิทยาลัยเราเลยล่มหมด จุฬาก็คะแนนไม่ถึง ธรรมศาสตร์ก็ไปพลาดตรง GED ซะงั้น ที่เราไปสอบ GED มาเราจึงไม่ได้ใช้วุฒิตรงนั้นแล้วค่ะ เพราะเราเรียนซ้ำชั้นจนจบมัธยม 5 แล้ว (เราสอบ GED ผ่านแล้วแต่เราไม่ได้ลาออกจากโรงเรียนไทยค่ะ) หลังจากนี้เราเลยตั้งใจว่าจะใช้วุฒิมัธยมปลายที่ไทยยื่นสมัครแล้วกัน เฮ้อ ที่ไปสอบ GED มาก็เสียเงินเปล่าเลยค่ะ แทบจะเป็นนักผลาญเงินคนหนึ่งแล้ว พอเข้าปี 2021 มา โควิดก็ยังไม่จากเราไปไหน ยิ่งช่วงกลางปีนั้นมหาโหดมากค่ะ แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีข่าวร้ายจากทาง College Board หรือผู้ออกข้อสอบ SAT ทุกวิชานั่นเอง โดยมีประกาศว่าทาง College Board จะยกเลิกการสอบ SAT Subject Tests ทั้งหมดค่ะ เอาแล้ว เรายังต้องสอบ SAT Subject Tests อยู่เพราะคะแนนเราไม่ถึงเกณฑ์ซักที เราเลยตัดสินใจลงคอร์สติว SAT Subjects 3 วิชากับสถาบันแห่งหนึ่งด้วย ค่าเรียนแพงมาก 5555 เราไม่เคยเรียนพิเศษพวกนี้เลยช็อคกับราคามากค่ะ แต่ก็ลงเรียนไป เพื่อการสอบรอบสุดท้าย เราลงสอบเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนไปค่ะ แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่แรงมาก ทำให้การสอบรอบเดือนพฤษภาคมของเราถูกยกเลิก ตอนนั้นเด็กที่สอบเครียดกันมาก ใครมีคนรู้จักสอบ SAT ช่วงนี้ลองไปถามกันได้ค่ะ เครียดกันทุกคนไม่เกินจริง รอบเดือนมิถุนายนเราก็เกือบโดนยกเลิกอีกแล้ว แต่ช่วงนั้นมีการระดมกำลังจากทีมผู้ปกครองต่าง ๆ จนสุดท้ายเราได้ไปสอบเดือนมิถุนายนค่ะ ช่วงนั้นหลายสถานที่สอบก็ถูกยกเลิกเหมือนกัน ถือว่าเราค่อนข้างโชคดีที่ยังเหลือรอบสอบนี้เป็นครั้งสุดท้าย นี่เป็นคะแนนสอบเราหลังจากเรียนพิเศษค่ะ มันก็ยังกองอยู่ที่เดิม...คือไม่แตะ 700 เสียที ดูเหมือนว่าเราจะเริ่มเข้าใจคณิตศาสตร์มากขึ้นเพราะได้เกือบ 700 คะแนน แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่คะแนนที่น่าพอใจค่ะ ฟิสิกส์นี่ก็เกือบหลุด 600 ไปแล้ว ตอนนั้นก็วิกฤตมากเพราะการสอบนี้เป็นการสอบครั้งสุดท้าย เราจะต้องไปสอบข้อสอบ CU-ATS ซึ่งเป็นข้อสอบที่สถาบันทดสอบทางจุฬาออกเอง ไม่มีหนังสือให้อ่าน ไม่มีแนวข้อสอบเก่าถูกปล่อยออกมา เราจึงต้องเรียนพิเศษอีกแล้ว ซึ่งการเรียนครั้งนี้จะอยู่ในใจเราไปอีกนานค่ะ เรียนตัวต่อตัว สองวิชา เจ็ดสิบชั่วโมง เราเสียเงินไปเกินหนึ่งแสนบาทค่ะ วินาทีที่คิดถึงค่าเรียนเรานี่อยากจะตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานจนหาเงินให้ได้เยอะกว่านี้สิบเท่า ร้อยเท่าเลย เรารู้สึกผิดมากที่ไม่เก่ง ไม่สามารถอ่านหนังสือเองได้จนต้องพึ่งสถาบันกวดวิชา เราจะต้องสอบวิชาฟิสิกส์และเคมีในรอบเดียวกันค่ะ ระหว่างนั้นเราพอมีเวลาก็ไปสอบ SAT ปกติเพิ่มด้วย เพราะคะแนน SAT Math เราก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเหมือนกัน และนี่คือคะแนน SAT ของเราค่ะ เราลงสอบอีก 2 รอบ คือรอบเดือนตุลาคมและธันวาคม ปี 2021 ซึ่งเป็นปีที่เราจำเป็นต้องยื่นคะแนนจริงแล้ว และการยื่นคะแนนรอบแรกก็เป็นช่วงธันวาคมด้วยค่ะ คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์เดือนธันวาคมของเราได้ 740 จาก 800 คะแนนค่ะ โดยไม่เคยเรียน SAT Math อย่างจริงจัง หาทำไปเรื่อย แต่มีเรียน SAT Math Level 2 มาบ้าง ซึ่งเราพอใจกับคะแนนนี้แล้ว เราไม่อยากสอบ SAT อีกแล้วค่ะ มันเหนื่อยและทรมานมาก หลังจากนี้เราขาดแค่คะแนนส่วนวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะต้องสอบ CU-ATS ที่รอบสอบน้อยมาก ๆ แถมออกข้อสอบคนละแนวกับ SAT Subject Tests ที่เคยไปสอบมาด้วย เนื้อหาเราก็ไม่แน่น เรียนพิเศษก็กระชั้นชิด ยังคงสับสนกับตัวเองไม่เลิกค่ะ เราอ่านหนังสือแบบเน้นปริมาณ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะควรเน้นไปที่คุณภาพ เป็นอีกหนึ่งข้อคิดที่เราได้รับจากการกระทำของตัวเอง เราขอจบพาร์ทแรกไว้เท่านี้นะคะ พาร์ทต่อไปน่าจะเล่าให้จบได้แล้ว จะเป็นช่วงที่เราเตรียมสอบ CU-ATS มี CU-TEP ด้วย ตอนนั้นคือสอบไม่จบไม่สิ้น เราเหนื่อยมากและมันเป็นช่วงมัธยม 6 ที่เราเรียนออนไลน์ทั้งปี ได้ไปโรงเรียนแบบนับวันได้ เรียนออนไลน์เราก็ไม่เข้าใจ สติเราหลุดง่ายและขี้เกียจ สมองไหลมากค่ะ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาสุด ๆ แถมยังต้องเตรียมสอบอีก มันก็เป็นเรื่องปกติของเด็กมัธยม 6 นะแต่ตอนนั้นเราเหนื่อยจริงค่ะ และเชื่อว่าทุกคนก็เหนื่อย เพราะเราต้องพยายามกันมากและไม่รู้ว่าต้องพยายามไปถึงเมื่อไหร่ พาร์ทหน้าเราจะติดมหาลัยแล้วนะ! ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ การเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่เราคงจำไม่ลืมเลย ฝ่าฟันมากกกกกกกกกก จนถึงตอนนี้คะแนนยังสู้คนอื่นไม่ได้เลย 55555 ยังไงก็ฝากติดตามเรื่องราวของเราต่อไปด้วยนะคะ!! สรุปการเตรียมตัวสอบสำหรับผู้ที่เตรียมตัวสอบทุกประเภท จากเราที่ขี้เกียจและไม่ได้เป็นคนเก่งศึกษาว่าข้อสอบเป็นประเภทใด เป็น speed test หรือไม่ ลองอ่านรีวิวหลาย ๆ บทความ ทำความเข้าใจคณะและข้อสอบพยายามหาทางเข้าใจคอนเซปต์เรื่องที่ออกสอบให้ได้หาสไตล์อ่านหนังสือที่เราชอบ เช่น อ่านโดยใช้เทคนิค Pomodoro หรืออ่านไปฟังเพลงไป เป็นต้นฝึกทำโจทย์เยอะ ๆ และหลากหลาย แก้ข้อผิดพลาดของตัวเองให้หมดทานอาหารให้ครบถ้วน เหมาะสมนอนไม่ดึกเกินไป ดูนาฬิกาชีวิตตัวเองให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอไม่กดดันตัวเองมากไป ไม่ฝืนทำอะไรมากไป พยายามผ่อนคลายตัวเองอยู่เสมอ บางทีเราจะเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัวค่ะ สุขภาพจิตเราก็สำคัญนะ ป.ล.รูปคะแนนเป็นของเรานะคะ ห้ามนำไปใช้ต่อน้า แต่คงไม่มีใครเอาไปใช้เพราะคะแนนน้อยมาก ฮาอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !