COP 30 หาข้อยุติไม่ได้ หัวข้อพลังงานฟอสซิลถูกตัดออก เพราะประเทศผลิตน้ำมันไม่ยอมรับ

เวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 หรือ COP 30 ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล เริ่มตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง และต้องยืดเยื้อออกไปจากกำหนดเดิมในวันศุกร์ที่ 21 พ.ย.68 เนื่องจากผู้แทนจากประเทศต่างๆ ได้คัดค้านร่างข้อตกลงฉบับล่าสุดที่ประธานการประชุมของบราซิลเผยแพร่ออกมา โดยตัดประเด็นเรื่อง “พลังงานฟอสซิล” ออกจากหัวข้อหลัก ทั้งที่ในร่างก่อนหน้านี้มีการกล่าวถึงทางเลือกของรูปแบบการลดและยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งสร้างความไม่พอใตให้กับหลายประเทศ

ไมเคิล เจคอบส์ นักวิชาการอาวุโสจาก ODI Global ระบุว่า การประชุม COP 30 ยังคงหาข้อยุติไม่ได้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศ มาตรการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประเด็นด้านการลดและยุติการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกตัดออกไปจากร่างการประชุม เนื่องจากแนวทางเหล่านั้นเป็นประเด็นที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซไม่ยอมรับ แม้ว่าอีกกว่า 80 ประเทศจะสนับสนุนให้ใส่ไว้ในร่างการประชุมก็ตาม

ไมเคิล เจคอบส์ อธิบายว่า กลยุทธ์นี้เป็นวิธีการที่ประธานการประชุมใช้ เพื่อนำเสนอร่างที่โน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายได้ออกมาตอบโต้ จากนั้นจึงจะเข้าสู่การเจรจาเพื่อหาจุดประนีประนอมในภายหลัง แต่กระบวนการนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการต่อรองซึ่งทำให้การประชุมต้องยืดเยื้อออกไปก็ตาม 

นอกจากนี้การยืดเยื้อของการประชุม COP 30 จนเกินกำหนดในครั้งนี้ เกิดจากเหตุไฟลุกไหม้ใกล้พาวิลเลียน ทำให้ต้องอพยพผู้เข้าร่วมงานบางส่วนออกไปยังที่ปลอดภัย และมีรายงานว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ 13 คน โดยสาเหตุเบื้องต้นคาดว่ามาจากปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งทำให้เสียเวลาการประชุมไปถึงครึ่งวัน 

ขณะที่อีกหลายประเด็นของการประชุมถูกเลื่อนออกไปพิจารณาในการประชุม COP 31 ที่ตุรกีในปีหน้า ซึ่งในฐานะเจ้าภาพการประชุมอย่าง บราซิล ไม่เห็นด้วยเพราะอาจถูกวิจารณ์ได้ว่าการประชุมครั้งนี้ไม่ก้าวหน้าและเสียเวลา

อย่างไรก็ตามการประชุม COP 30 ดำเนินต่อเนื่องมากินระยะเวลา 2 สัปดาห์ และมีกำหนดปิดการประชุมในเวลา 18.00 น. ของวันศุกร์ที่ 21 พ.ย.68 ตามเวลาท้องถิ่นของบราซิล แต่ที่ผ่านมาการประชุม COP มักจะยืดเยื้อและกินเวลายาวนานออกไปเพื่อประนีประนอมหาจุดที่นานาประเทศให้การยอมรับมากที่สุด และต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกจึงจะสามารถประกาศใช้อย่างเป็นทางการได้