Credit รูปภาพหน้าปกโดย www.pixabay.com กราบสวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านครับในวันนี้ทางผู้เขียนจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีเงิน 4 ด้านจากคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก มาแชร์ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ของกระแสเงินสดที่เป็นรายรับของเราในชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการพัฒนาความมั่งคั่งของตัวคุณให้มากขึ้นไปได้ ก่อนอื่นเรามารู้จักคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ กันก่อนนะครับ ทางผู้เขียนขออนุญาตสรุปประวัติคร่าว ๆ ไว้ดังนี้คือ คุณโรเบิร์ต คิโยซากิ เกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจนและได้รับการปลูกฝังแนวคิดจากพ่อของเขาว่าให้ตั้งใจเรียนให้สูง ๆ ให้มีความรู้เพื่อที่จบออกมาจะได้หางานที่ดี ๆทำ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เห็นด้วยเสียเท่าไหร่ ในวัยเด็กเขามีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งที่มีพ่อเป็นนักธุรกิจและนักลงทุนที่มากความสามารถ โรเบิร์ตจึงมักไปพบกับพ่อของเพื่อนคนนี้เพื่อฟังคำแนะนำดี ๆ จากเขาอยู่เสมอ ซึ่งพ่อคนนี้แหละที่โรเบิร์ตนิยามให้เป็นบุคคลที่เรียกว่า "พ่อรวย" ที่มักจะสั่งสอนเขาตามแบบแนวคิดของคนรวยว่า "ให้ตั้งใจเรียนให้ดี ๆ จะได้มีความรู้เพื่อเอาไปเลือกซื้อธุรกิจดี ๆ ได้" และยังเป็นผู้สั่งสอนวิชาต่าง ๆ จนทำให้โรเบิร์ตร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก และในปัจจุบันก็เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Rich dad company ที่ออกหนังสือซีรี่ พ่อรวยสอนลูก ปกสีม่วง ๆ ที่เรามักเห็นกันตามร้านขายหนังสือทั่วไปแทบทุกแห่งนี่หละครับ จุดเริ่มต้นของคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่ต้นแบบคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เขาเริ่มต้นใน Moment แบบคนธรรมดาทั่วไป ที่หากมองดี ๆ แล้วอาจจะแย่กว่าคนฐานะปานกลางบางคนเสียด้วยซ้ำ มีช่วงหนึ่งที่เขาไม่มีบ้านไม่มีเงินต้องอาศัยไปนอนในรถเก่า ๆ แทนบ้าน จนมีจุดเปลี่ยนในชีวิตที่เขาเริ่มต้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทำให้ชีวิตเขาเริ่มมีอนาคตและมันก็พัฒนาแบบก้าวกระโดด (คนจนไม่มีเงินแต่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ยังไง ?) ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับสำหรับผู้ที่สนใจสามารถไปหาติดตามอ่านต่อได้ทาง Internet / Rich dad company เดี๋ยวจะร่ายยาวมากเกินไปรูปภาพโดยผู้เขียนทำเองครับ ทฤษฎีเงิน 4 ด้านที่ทางผู้เขียนจะมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังในวันนี้ก็เป็นคำสอนที่พ่อรวยได้สอนคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ และเขาก็นำมาถ่ายทอดให้คนธรรมดาอย่างเราได้เรียนรู้อีกทอดหนึ่งผ่านทางหนังสือพ่อรวยสอนลูก ทฤษฎีเงิน 4 ด้าน (Cash flow Quadrant) กล่าวถึงรายรับของคนเราที่มาจาก 4 ช่องทางหลัก ๆ หรือที่เรียกว่าเงิน 4 ด้านประกอบด้วย1. E (Employee) : ลูกจ้างทั่วไป เป็นบุคคลที่ทำงานในลักษณะลูกจ้างทั่วไปมีรายได้หลักมาจากเงินเดือนที่ได้รับจากบริษัทในแต่ละเดือนรูปภาพโดย www.pixabay.com2. S (Self - Employed) : ผู้ประกอบการขนาดเล็ก เป็นบุคคลที่ทำงานรูปแบบธุรกิจขนาดเล็ก เจ้าของธุรกิจส่วนตัว รายได้หลักมาจากผลประกอบการของกิจการส่วนตัวที่ตนทำงานอยู่รูปภาพโดย www.pixabay.com3. B (Business Owner) เจ้าของธุรกิจ : ผู้ที่มีธุรกิจเป็นของตนเอง มีระบบธุรกิจที่ดูแลตัวมันเองได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปบริหารจัดการมาก มีรายได้มาจากระบบธุรกิจที่เป็นเจ้าของอยู่รูปภาพโดย www.pixabay.com4. I (Investor) นักลงทุน : นักลงทุนที่ใช้เงินลงทุนในสินทรัพย์ต่าง โดยได้รายได้หลัก ๆ จากเงินปันผล ดอกเบี้ย และผลตอบแทนการลงทุนรูปภาพโดย www.pixabay.comทีนี้ทางผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองมองถึงความแตกต่างว่าระหว่างด้าน ES/BI มีอะไรที่แตกต่างกันบ้างให้เวลา 3 นาทีเริ่มครับ***หมดเวลาเฉลยคำตอบ***สิ่งที่ทางผู้เขียนต้องการให้คุณผู้อ่านมองให้ออกนั่นก็คือ1. ผู้คนฝั่ง ES / ลูกจ้างทั่วไปและเจ้าของกิจการส่วนตัวใช้ : แรง + เวลา >>>> เงิน หากวันไหนเราป่วยหรือหยุดทำงานไปรายได้เราจะลดหรือหายไปทันที รายแบบนี้เรียกว่า Active Income2. ในขณะที่คนฝั่ง BI / เจ้าของธุรกิจและนักลงทุนใช้ : แรง + เวลาเพื่อสร้างระบบธุรกิจ/Project การลงทุน แล้วธุรกิจหรือการลงทุนที่เขาสร้างขึ้นมา >>>>> เงิน แม้ว่าวันหนึ่งเขาจะหยุดทำงานหรือล้มป่วยไประบบธุรกิจหรือการลงทุนที่เขาสร้างไว้ก็ยังคงทำเงินให้เขาตลอดแม้ว่าเขาจะไปทำงานไม่ได้ รายได้แบบนี้คือรายได้ที่เรียกว่า Passive Income ยกตัวอย่างง่าย ๆ ลองเปรียบเทียบระหว่างพ่อค้าขายของออนไลน์กับเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าดูครับ พ่อค้าขายของออนไลน์ได้เงินเดือนละ 100,000 บาทแต่วันหนึ่งเขาล้มป่วยดูแลงานไม่ได้รายได้เขาก็หายไปเพราะทำงานต่อไม่ได้ ขณะที่เจ้าของอพาร์ทเม้นท์มีรายได้จากธุรกิจให้เช่าห้องพักเดือนละ 50,000 บาท แต่เขาได้จ้างผู้จัดการคนหนึ่งที่ไว้ใจได้เป็นคนดูแลความเรียบร้อยเเละจัดการเรื่องเก็บค่าเช่าแทนเขา วันหนึ่งเขาเกิดล้มป่วยอยู่บ้านต่อให้ทำงานไม่ได้ก็มีรายได้เข้ามาตลอดแบบ Passive Income และเมื่อเขาหายป่วยเขาก็มีเวลาเต็มที่ ที่จะออกไปหาสร้างธุรกิจใหม่ตัวอื่น ๆ ที่ทำรายได้ให้เขามั่งคั่งต่อไป สรุปง่าย ๆ คือไม่ว่าในปัจจุบันคุณจะหารายได้มาแบบไหนจากฝั่ง ESBI ของเงิน 4 ด้าน หากคุณต้องการเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเอง คุณจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพื่อสร้างระบบธุรกิจที่เป็นของตัวเองและผันตัวเองเข้าไปอยู่ในฝั่ง B หรือ I ให้ได้ เพราะฝั่งนี้จะทำให้คุณรวย มีความมั่งคั่งและมี Passive Income จากธุรกิจที่เข้ามา โดยที่คุณสามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เพิ่มรายได้ให้กับคุณได้อย่างเต็มที่ ในปัจจุบันคนที่อยู่ในฝั่ง BI มีจำนวนน้อยมากประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์จากประชากรทั้งหมดเท่านั้นและล้วนแล้วเเต่เป็นเศรษฐีกันทุกคน แต่ก็ใช่ว่าคนธรรมดาอย่างเราจะผันตัวไปอยู่ฝั่ง BI ไม่ได้ ขนาดคุณโรเบิร์ตที่เคยไม่มีบ้านต้องนอนในรถตัวเองมาแล้วยังทำได้คุณเองก็ทำได้เช่นกันครับเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะครับ สำหรับวันนี้ขอบคุณที่ติดตามครับ