ฤาษีเจ้าพิธีแจง บิณฑบาตดวง เปิดดวงเศรษฐี เป็นพิธีกรรมทางโลก สวดอยู่สวดกิน ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ศรัทธา
มีผู้โพสต์คลิปลงในTiktok ว่า ใครอยากรวย ต้องมาทำพิธีบิณฑบาตดวง เปิดดวงเศรษฐี ให้มีโชคมีลาภ หนุนดวง โดยในพิธีต้องห้ามหยุดกินจนกว่าจะสวดเสร็จ กินเบียร์เท่ากับทอง เหล้าขาวเท่ากับเงิน กินให้เมายิ่งเมายิ่งรวย พร้อมกับติดแฮชแทค #พระอาจารย์คัมภีร์
วันนี้ (19 กรกฎาคม 65) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ที่บ้านเชียงยืน หมู่ 5 ต.เชียงยืน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม โดยวันนี้ยังคงมีลูกศิษย์ลูกหา เดินทางมาดูดวง และมาทำพิธีเปิดดวงเศรษฐีเป็นจำนวนมาก โดยผู้สื่อข่าวได้ติดต่อผ่านลูกศิษย์เพื่อขอสัมภาษณ์ พระอาจารย์ฤาษีคัมภีร์ คัมภีรปัญโญ
โดย ฤาษีคัมภีร์ คัมภีรปัญโญ กล่าวว่า พิธีกรรมดังกล่าวไม่ใช่พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นพิธีกรรมทางโลก โลกเราก็เป็นแบบนี้มีการอยู่การกิน มีครูเป็นครูยักษ์ ครูองค์พระพิราพ ครูสายฟ้าฟาด ครูชายขี้เมา ครูบิณฑบาตดวง คำว่าสุรา มาจากคำว่าอสูร มาจากสุระ เป็นอสุรา สุราจึงมาเกิดเป็นอสูร พิธีนี้เป็นพิธีนอกศาสนา การจะทำบุญเปิดดวงเศรษฐี คือการเลี้ยงครู การเฉลิมฉลอง แต่พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าทำแล้วต้องรวยเลย แต่เป็นเพียงกำลังใจในการคล้าย ๆ คนขาดหลักในการดำรงชีวิต สิ่งที่ทำได้คือการให้กำลังใจมากกว่า ไม่ได้เป็นความขลัง มีคนบอกว่าทำแล้วปัง อันนี้ เค้าทำแล้วเค้าทำงาน หาทางขยับขยายธรุกิจเพิ่มเติม ไม่ใช่กินเหล้าเมายาแล้วรวย มีแต่คนขายแหละที่รวย แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งทางโลก ไม่ใช่ผู้หวังนิพพาน ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ เป็นไสยศาสตร์นอกศาสนา
เคยมีคนมาแล้วปัง เค้าก็กลับมาอีก วันนี้ก็มีคนเอาทองมาถวาย คนที่ประสบความสำเร็จถามว่าทุกคนมั้ย บอกเลยว่าไม่ ทำไมถึงเป็นที่รู้จัก เพราะมีคนมาแล้วได้ผลกันบ้างก็เลยมีการบอกต่อ ๆ กัน สิ่งที่ปังก็คือความขยัน จะพยายามบอกทุกคนว่าทำไปแล้วต้องขยัน แรงครูเป็นเพียงตัวช่วย ต้องขยันถึงจะปัง
ถึงไม่มีพิธีกรรมนี้คนก็หากินเหล้ากันอยู่แล้ว มันเป็นของเลี้ยงโลก ภาษีประเทศไทยอะไรแพงที่สุด คือภาษีเหล้าเบียร์ เป็นภาษีที่หล่อเลี้ยงโลก เอาเหล้าเบียร์มาเป็นตัวหนุนดวง แต่จริง ๆ แล้วในพิธีไม่ได้มีแต่เหล้าเบียร์เพียงอย่างเดียว ต้องมีการแจกทานด้วย ปล่อยสัตว์ ซื้อที่ดินถวายวัด ถึงจะเกิดดวงเศรษฐี เป็นกุศโลบายแต่มันนอกศาสนา
โดยในพิธี เรียกว่า สวดอยู่สวดกิน เวลาสวดต้องกินไม่ขาดปาก กินนิดกินหน่อยก็ถือว่ากิน เคล็ดลับคือกินไม่ขาดปาก คนชอบกินก็อาจจะกินเยอะหน่อย เป็นพิธีฆราวาสเป็นพิธีทางโลก อยากจะฝากนักข่าวไปอธิบายด้วย
พระอาจารย์เรียนมาแบบนี้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เชื่อก็มา ไม่เชื่อก็ไม่มา ไม่ได้บังคับ โลกนี้มี 2 ส่วน มืดสว่าง ดำขาว คิดต่างได้ แต่เราไม่แตกต่าง คนที่ตำหนิควรมาดูว่าสิ่งที่ทำมันเกิดประโยชน์อะไรกับสังคมมั้ย มาดูว่าเกิดประโยชน์กับชาวบ้านมั้ย ปัจจัยที่เราได้มาเราเอาไปสงเคราะห์สังคมแบบไหน อาจารย์ชอบช่วยเหลือคนในมุมมืดแบบนี้ดีกว่า
คนที่เชื่อก็มา คนไม่เชื่อก็ไม่มา เราไปบังคับคนที่ไม่เชื่อไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่สามารถทำได้ 4 อย่าง คือ 1.วิบากกรรม 2.รสชาติของพระธรรม 3.สติปัญญา และ 4. วาสนาไม่ตรงกัน ฝนตกทั่วฟ้าไม่มีประโยชน์กับหญ้าที่ไร้ราก คนที่ศรัทธาเค้ามาเอง คนที่เคยทำเค้าก็มา ตรงไหนดีเค้าก็มา
สุดท้ายเป็นเรื่องของความเชื่อ ถ้าเชื่อค่อยทำ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องทำ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์อยู่ในกระเป๋าพวกคุณ ทางเราไม่ได้ไปเรียกร้อง แต่ว่าถ้าทำแล้วมันจะปัง มันจะดีอยู่ที่ศรัทธา พิธีกรรมไม่ขลังเท่าพฤติกรรม ทำไปแล้วต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการอยู่การกิน ต้องทำมาหากิน เอาหลักธรรมมาใช้ยังไงก็รวยถ้ามีสติ