จากบทความก่อนที่ว่าด้วย 3 เทคนิคแรกไปแล้ว ขอทวนกันอีกสักนิด คือ เทคนิคที่ 1 ต้องหาปัญหาที่ยังไม่มีการแก้ไข , เทคนิคที่ 2 ต้องเข้าใจคนซื้อ, เทคนิคที่ 3 คำนวนผลกระทบในสิ่งที่เราทำลงไป วันนี้เราจะมาต่อกันด้วยเทคนิคที่เหลือ รับรองว่าเข้มข้นไมเทคนิคที่ 4 ให้สร้างประสบการณ์ที่ฉีก แหวกแนวให้กับลูกค้าโดยเป็นการสร้างประสบการณ์ที่พิเศษที่ลูกค้าไม่เคยได้รับรู้มาก่อน สร้างประสบการณ์บนพื้นฐานของจุดแข็งของเรา ลูกค้าไม่ได้ซื้อจากตัวสินค้า แต่ซื้อประสบการณ์ที่เขาจะได้รับ ซึ่งประสบการณ์ที่พิเศษจะมีอยู่ 5 ลักษณะ1. Discovery Experience : ประสบการณ์ของการค้นพบ เป็นช่วงที่ลูกค้าต้องการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริษัทสามารถสร้างสิ่งที่ให้ข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าที่ลูกค้าต้องการบริโภคจริง เช่น โบรชัว เว็บไซต์ การให้ข้อมูลของพนักงานขาย2. Buying Experience : ประสบการณ์ทางการซื้อ ลูกค้าซื้อสินค้าของเราอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน3. Packaging Experience : ประสบการณ์จากบรรจุภัณฑ์ ลูกค้ารู้สึกอย่างไรในตัวบรรจุภัณฑ์ ตัวอย่างจะเห็นได้จากสินค้าของญี่ปุ่น4. Using Experience : ประสบการณ์ในการใช้ (Break through Experience)5. Service Experience : ประสบการณ์จากการให้บริการ เทคนิคที่ 5 การสื่อสารความคิดที่มีพลังเราจะต้องพัฒนาคำหรือวลี เพื่อสื่อความคิดไปยังผู้ซื้อ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เราต้องการอะไรจากคนซื้อ คือ เราต้องการให้ผู้ซื้อรู้อะไร เกี่ยวกับ องค์กรหรือตัวสินค้า ซึ่ง Idea ที่ทรงพลังที่สุด คือ การจับคู่สิ่งที่องค์กรถนัดและสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้เแก้ปัญหาโดยหัวใจ คือ การหาว่าอะไรเป็นความคิดที่สามารถจะขายได้ดีที่สุด ซึ่งจะมาจาก การที่เราต้องไปดูให้ได้ว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เขาต้องการอะไร หรือ อาจจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แต่เขาไม่รู้ การที่ผู้ผลิต ผลิตสินค้าขึ้นมาสักชิ้นซึ่งโดยปกติต้องเกิดความต้องการจากลูกค้าก่อนจึงผลิตออกมาตอบสนอง แต่บางครั้งผู้ผลิตก็ต้องผลิตออกมาก่อน ก่อนที่จะเกิดความต้องการเนื่องจากลูกค้าไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผู้ผลิตจึงต้องติดตาม Life Style ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทราบถึงปัญหาดังกล่าว ซึ่งถ้าเราจะปรับการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ จะต้องลงไปคลุกกับลูกค้าจำนวนมาก เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร เทคนิคที่ 6 สร้างการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นให้เกิดขึ้นกับลูกค้าเพื่อจะเป็นการสื่อถึงลูกค้าว่าเราแก้ไขปัญหาให้เขาเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าผู้ซื้อกลุ่มนี้ เสพสื่ออะไร ต้องรู้จัก Profile ลูกค้า จากนั้นพัฒนาข้อมูลที่ลูกค้าต้องการบริโภคเป็นประเภทไหน สร้างสัมพันธภาพที่แท้จริงให้เกิดกับลูกค้า ต้องตั้งคำถามว่า เราจะสื่อให้ลูกค้าให้รู้ได้อย่างไร ว่าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ เมื่อเขาซื้อของจากเราซึ่งสร้างการเชื่อมต่อกับลูกค้าให้ได้ ในปัจจุบัน Internet จะเข้ามามีอิทธิพลมาก เราจึงต้องรู้จักสร้าง Content บางอย่างขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารไปยัง ผู้ซื้อโดยตรง ฉะนั้นการ Tune in ควรสื่อให้เห็นถึง Concept ของสินค้านั้นมากกว่ารูปร่างหน้าตานั่นเอง ครับสำหรับ 6 เทคนิค ปรับแต่งธุรกิตให้เหมาะกับยุคสมัย (Tune in Marketing) น่าจะเป็นตัวช่วยให้เราได้ใช้เป็นเช็คลิส (Check List) ตรวจสอบพฤติกรรมลูกค้าเราอีกครั้งหลังจากที่สถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะอย่างน้อยแม้ไม่ได้กลับไปเป็นคนเดิมเหมือนก่อน แต่เราก็ยังเป็นคนที่ลูกค้ายังวางใจเราได้เสมอ แค่นี้ก็ได้ใจไปเต็มๆ แล้วยังมีข้อคิดการดำเนินธุรกิจที่น่าสนใจ ลองตามไปอ่านได้ที่ > นิยมเล่าเป็นเรื่องเจ้าของ Blog > Business Connection Knowledgeเครดิตรูปทั้งหมดรูปที 1 (Photo by NordWood Themes on Unsplash)รูปที่ 2 (Photo by Andrea Piacquadio from Pexels)รูปที่ 3 (Photo by Jason Rosewell on Unsplash)รูปที่ 4 (Photo by camilo jimenez on Unsplash)