“หากรู้ตัวเองว่ามีเวลาเหลืออีกไม่นาน อยากจะทำอะไรก่อนจะจากโลกนี้ไป” สวัสดีผู้อ่านทุกท่านจ้า ไม่ได้พบกันซะนาน เนื่องด้วยช่วงนี้ผู้เขียนไม่มีเวลาพอมาทำบทความเลย และบทความนี้เป็นรีวิวหนังสืออีกแล้วเน้อ หนังสือเล่มนี้แผนเดิมผู้เขียนจะรีวิวลงเมื่อปีที่แล้วด้วย แต่ก็ดันเลยมาปีนี้ละ แต่ก็ไม่เป็นไร ได้ทำดีกว่าไม่ได้ทำ หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากๆ เลยละ และอยากให้ลองไปหาอ่านกัน ชื่อหนังสือก็น่าสนใจแล้ว ทำให้รู้จักความหมายของชีวิตได้มากขึ้นและความตายเองก็ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน อาจจะวันนี้ พรุ่งนี้หรือสักวันนึงในอนาคตข้างหน้า เขาว่าทุกคนล้วนเกิดและย่อมดับไปตามกาลเวลา แต่ทุกๆ วันที่เรายังหายใจอยู่ มีอะไรที่อยากทำไหม อยากจะใช้ชีวิตแบบไหน มีอะไรจะบอกกับคนสำคัญไหม เวลาไม่เคยรอใครจริง การที่ไม่ได้ทำตามที่ใจสั่งมาคงเสียดายแย่เลย เพราะงั้น ใครที่กำลังท้อแท้กับชีวิตในตอนนี้ซึ่งผู้เขียนตอนนี้ก็ท้อแท้กับสิ่งที่เจอมาในทุกวันนี้เช่นกัน และนี่คือสิ่งที่ผู้เขียนได้มาจากการอ่านหนังสือเล่มนี้จบ จะมีการหยิบยกส่วนของหนังสือและส่วนของตัวผู้เขียนเองด้วย ไม่ให้เสียเวลา ไปอ่านกันเลย ถ้าอีก 1 ปี ฉันจะต้องตาย หนังสือที่เขียนโดยนายแพทย์ Ozawa Taketoshi (นายแพทย์ โอซาวะ ทาเคโยชิ) และประเทศไทยจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ WeLearn เป็นหนังสือยอดนิยมที่ทุกวันนี้ก็ยังขายดีมากเลยจ้า ผู้เขียนจำได้เลยว่าเคยติด Top 10 หนังสือขายดีด้วยจ้า หนังสือที่ให้บทเรียนชีวิตที่ไม่ต้องเสียใจภายหลังนั่นเองจ้า ในหนังสือมีการเล่าเป็นประสบการณ์ของผู้ป่วยที่รู้สึกเสียดายอะไรในชีวิตบ้างไหม ทำนองนี้ ซึ่งมาดูกันว่าหลังจากอ่านแล้วผู้เขียนได้อะไรไปบ้าง มาอ่านกันเลย ชีวิตทุกคนมีความหมาย ไม่มีใครบนโลกที่ไม่มีคุณค่า แม้คนทั้งโลกจะไม่ได้รักเราแต่ยังมีคนที่รักเราเสมอ จะทุกข์หรือสุขแต่ ความสุขที่แท้จริงอยู่รอบตัวเราเสมอ และหาได้ง่ายกว่าที่คิด จะอกหักจากแฟน เจอเรื่องไม่ดีจนทำให้ไม่อยากมีตัวตนอยู่บนโลก แต่ว่าช้าก่อนนะ เรายังมีความหมายและไม่ได้ไร้ค่าเลยแม้แต่นิดเดียว มีพ่อแม่ที่รักเรา มีเพื่อนที่ดี หรือมีใครก็ได้ที่รู้สึกว่าอยู่กับเราแล้วสบายใจ ไม่เหลือใครแล้วอาจจะไม่จริงเสมอไป ต้องมีแรงดึงดูดให้มีใครสักคนที่รักเราและช่วยเราแน่นอน มีสิ่งที่อยากทำก็ทำซะ จะเป็นอะไรก็ทำไปเลยจ้า ผู้เขียนก็มีความฝัน มีเป้าหมายเหมือนทุกคนเลย แต่ว่าบางคนไปถึงได้ง่าย และบางคนกว่าไปถึงฝันก็ยากลำบากและต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเอง ผู้เขียนเป็นคนนึงที่ก็กำลังพิสูจน์ให้ครอบครัวเห็นว่าความฝันของผู้เขียนเป็นไปได้ และมีหลายคนที่ไปถึงฝันจนกลายเป็นดาวค้างฟ้าเลยก็มีเยอะแยะ มีหลายคนที่เสียใจที่ไม่ได้ทำตามที่ใจอยากทำ และแน่นอนมันเจ็บปวดและทรมาน ที่ไปไม่ถึง เขาว่าไม่สายเกินไปมันอาจจะไม่จริง ถ้าเรารู้ว่าเวลาของเราเหลือแค่อีก 1 ปี และ 1 ปี จะเดินต่อหรือพอแค่นี้ และเชื่อว่าส่วนใหญ่ต้องไปต่อกันแน่นอน ล้มเลิกความคิดแย่ๆ เสียใจได้แต่ก็ต้องเข้มแข็งและไปกันต่อ อนาคตน่ะ เราจะกำหนดเอง อยากเจอคนสำคัญก็ไปเลย ถ้าอีก 1 ปี จะตายแล้ว ไม่อยู่บนโลกแล้ว ก็ใช้เวลาที่ยังมีชีวิตไปหาคนสำคัญเลย เช่น พ่อ แม่ เพื่อน ญาติ บุคคลที่เราชื่นชม บุคคลที่มีชื่อเสียง อยากไปเจอ อยากไปหา ไม่ต้องคิดเยอะ ไปหาเลย ผู้เขียนจริงๆ ก็อยู่กับครอบครัวเจอพ่อแม่ และทุกๆ 5-6 เดือนก็ไปหาญาติที่ต่างจังหวัด และยังโทรคุยกัน ผู้เขียนเองก็มีบุคคลมากมายที่อยากเจอมากๆ จะมีชื่อเสียง หรือ เป็นบุคคลที่ไม่มีชื่อเสียง และผู้เขียนก็พยายามไปถึงอยู่เหมือนกัน และก็มีไฟมากขึ้นเมื่ออยากไปถึงคนนั้น ถ้าคนนั้นเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ทำให้เราอยากเอื้อมไปถึง ฉะนั้นเมื่อรู้ว่าคงอยู่บนโลกนี้ไม่นานก็ขอให้ทุกคนได้เจอคนที่อยากเจอที่สุดจ้า ความสุขมีขีดจำกัด ทุกคนไม่มีใครมีความสุขทุกวันแน่นอน ผู้เขียนเชื่อแบบนั้น จะมีคนทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่ได้มีเวลาแสวงหาความสุขก็มีเลย ในหนังสือได้บอกประมาณว่า “ต่อให้มีตำแหน่งใหญ่ โต มีชื่อเสียง มีเงินทองก็เท่านั้น พอตายไปแล้วสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมาย” คือความจริงในชีวิตเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุขในทุกๆ วัน ไหนจะมีความกดดันสารพัดอย่างที่เราอาจจะไม่รู้ แล้วทำยังไงให้มีความสุข ก็ต้องขึ้นอยู่กับชีวิตของแต่ละคน อย่างผู้เขียนมีความสุขก็ต่อเมื่อได้ทำในสิ่งที่ทำแถมถ้าทุกคนแฮปปี้เราก็ดีใจ และถ้าเขาทำเป้าหมายสำเร็จได้เพราะผู้เขียน ผู้เขียนก็แฮปปี้ ผู้เขียนว่าความสุขไม่ใช่การที่ต้องให้คนอื่นมาเสียสละตัวเองเพื่อความสุขของเรา แต่เป็นการที่เราได้มีความสุขอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องมากังวล แบบว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อความสุขของคนอื่นแต่เราเลือกที่จะออกจากงานเพื่อไปมีความสุขของตัวเองได้ โลกที่ผู้คนมีความสุขมันดีมากนะ แล้วความสุขของผู้อ่านคืออะไรละ? ออกไปท่องเที่ยวบ้างก็ได้ พักผ่อน ผ่อนคลายบ้างก็ดี อยากไปที่ไหนก็จัดไปเลยจ้า ผู้เขียนเองก็มีสถานที่ที่อยากไปและมีแผนจะทำบทความเร็วๆ นี้ รอติดตามกันได้เลยจ้า การออกไปข้างนอก คือ การเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีที่สุดเลย อยู่บ้านบางทีก็ต้องมีเบื่อบ้างแหละ ไปคนเดียวก็ได้จ้า ถ้าไม่ได้ไปสถานที่ที่อยากไปก่อนตายละก็เสียใจแน่นอนจ้า ยังมีอีกเยอะที่ยังไม่ได้เอามาจากหนังสือ อยากให้ผู้อ่านลองไปค้นพบด้วยตัวเองจะดีกว่า หนังสือเล่มนี้ถือว่าหลายคนให้ความสนใจกันมากและผู้เขียนว่าการได้ทำอะไรอิสระตามใจต้องการมันดีมากเลย เพราะ ถ้าอีก 1 ปี เราจะตาย เราจะไม่เสียดายที่เราเลือกทางที่อยากไป เครียดจากงานก็ออกไปก็ได้ ไปอยู่ที่ที่มีความสุข อาจจะไม่ได้ดีในบางส่วนแต่อยู่ที่ที่มีความสุขดีที่สุดแล้ว ยังไงขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ด้วยเน้อ ชอบไม่ชอบยังไงก็บอกกันได้ กดแชร์ให้ผู้อื่นได้อ่านต่อกันด้วย ขอบคุณจ้า ภาพปกทำโดย Canva ถ่ายจากหนังสือผู้เขียนเองจ้า ภาพประกอบ ภาพประกอบ 1 ถ่ายโดย Melissa Askew จาก Unsplash ภาพประกอบ 2 ถ่ายโดย Herrmann Stamm จาก Unsplash ภาพประกอบ 3 ถ่ายโดย Sebastian Herrmann จาก Unsplash ภาพประกอบ 4 ถ่ายโดย fifi fauziyah จาก Unsplash ภาพประกอบ 5 ถ่ายโดย Dino Reichmuth จาก Unsplash ช่องทางการติดตามของผู้เขียน Facebook: AmmarinJ Twitter (X): @AmmarinJ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !