"เหมือนเราเคยรักกัน" ละครดังที่กำลังออกอากาศผ่านทางช่อง One 31 ทุกวันพุธ - พฤหัส เวลา 20.15 น. นับเป็นละคร 'น้ำดี' เรื่องหนึ่งที่นอกจะพาผู้ชมไปเข้าสู่ห้วงแห่งความรักโรแมนติก ของพระเอก - นางเอกแล้ว ยังแฝงจิตสำนึกรักษ์ธรรมชาติให้กับคนรุ่นใหม่ รวมถึงนำเสนอมุมมองความยิ่งใหญ่ ความลึกลับของธรรมชาติที่อยู่เหนือกาลเวลา และแน่นอนว่าอยู่เหนือมวลมนุษยชาติ !!บทความนี้จึงอยากชวนเพื่อน ๆ มาร่วมไขความลับของธรรมชาติจากบทละครผ่านมุมมองของวรรณกรรมศึกษากันค่ะ โดยในการมองครั้งนี้เราจะยึดการมองแบบสีเขียว หรือการวิจารณ์เชิงนิเวศ (Ecocriticism) มาเป็นแก่นและแกนกันนะคะ"ภูตน้ำ" อาศัยอยู่ใต้น้ำ เธอมีหน้าที่เป็นผู้ควบคุมสายน้ำแห่งกาลเวลา จึงทำให้เธอสามารถที่จะย้อนเวลาได้ และผู้ที่จะเจอกับภูตน้ำได้ต้องเป็นผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตเท่านั้นภูตน้ำ เป็นตัวละครหนึ่งที่มีความสำคัญในฐานะผู้สร้าง "ปมเรื่อง" เริ่มตั้งแต่เธอเป็นผู้ย้อนเวลาเพื่อโกงความตายให้กับ 'วิณณ์' ภายใต้การร้องขอของ 'เจนนรี' แฟนสาวของเขา ภูติน้ำไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีใครที่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง แต่ก็ยอมช่วยย้อนเวลาให้วิณณ์ไม่ตาย แต่เจนนรีต้องเเลกด้วย 'เงื่อนไขและราคา' ซึ่งแน่นอนว่าเจนนรียินยอม และตอนท้าย ๆ ของเรื่อง ภูตน้ำก็เข้ามามีบทบาทอีกหลังจากที่เจนนรีถูกลิษายิงจนเสียชีวิต วิณณ์มาขอร้องภูตน้ำให้คืนชีวิตของเจนนรีให้ โดยที่เขายอมปฏิบัติตามเงื่อนไขและราคาตามที่ภูติน้ำจะเรียกร้อง เอาละค่ะสิ่งเหล่านี้คือวัตถุดิบที่เราจะใช้สำหรับหยิบยกมามองตัวบทตามแนวการวิจารณ์เชิงนิเวศกัน ... ว่าแล้วก็มาร่วมกันไขปริศนาสัญญะของธรรมชาติไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะประเด็นที่หนึ่ง ภูตน้ำสามารถควบคุมสายน้ำแห่งกาลเวลาได้ และสายน้ำแห่งกาลเวลาควบคุมชะตาชีวิตของมนุษย์ จากการประกอบสร้างตัวละครในข้อนี้ ทำให้เราจะเห็นว่าผู้ประพันธ์จงใจสร้างภูติน้ำให้เป็นภาพแทน (representation) ของธรรมชาติผู้ยิ่งใหญ่เหนือมวลมนุษย์ และการที่ผู้ที่ใกล้เสียชีวิตเท่านั้นที่จะได้พบกับภูตน้ำ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ผู้เย่อหยิ่งในเผ่าพันธุ์ของตน สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา อย่างเจนนรียอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ภูติน้ำตั้งขึ้น คือ ไม่รักกับวิณณ์อีก หลังจากที่เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง และยอมจ่ายตาม 'ราคา' ที่ภูติน้ำเรียกร้อง คือ ยอมเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นระบบคิดว่ามนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ โดยเริ่มชี้ให้เห็นตั้งแต่มนุษย์ไม่สามารถชนะความตายได้ ขณะที่ธรรมชาติสามารถควบคุมความตายได้ ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือธรรมชาติมีเมตตาต่อมนุษย์เสมอ แม้ว่าธรรมชาติที่ถูกนำเสนอในเรื่องจะไม่ได้ 'ไร้เดียงสา' เหมือนการนำเสนอภาพธรรมชาติในละครเรื่องอื่น ๆ ทั่วไปที่มักเสนอว่าธรรมชาติเกิดมาเพื่อให้มนุษย์กอบโกยผลประโยชน์ หากแต่ธรรมชาติในเรื่องนี้ได้สะท้อนสัจธรรมว่าโลกใบนี้หากมีข้อดีก็ย่อมต้องมีข้อเสีย หากยื่นมือหนึ่งให้ อีกมือหนึ่งก็พร้อมรอเพื่อจะรับคืน ดังนั้นจากเรื่องเมื่อมนุษย์ยอมเสียประโยชน์บางอย่างของตน ธรรมชาติก็พร้อมให้ประโยชน์บางอย่างแก่มนุษย์เป็นการตอบแทน ตีความได้ว่ามนุษย์กับธรรมชาติต่างก็พึ่งพาอาศัยกันประเด็นที่สอง การภูติน้ำไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีใครที่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์โดยมากเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ยึดเอาตัวเองเป็นใหญ่เหนือกว่าสิ่งอื่น และไม่มีความจริงใจให้กับสิ่งอื่น ๆ รอบตัว แม้แต่ผู้คนในเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ตาม สิ่งนี้สะท้อนระบบคิดในการมองมนุษย์ว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งอื่น หากแต่เป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่เย่อหยิ่ง อวดอ้างว่าตนเองยิ่งใหญ่ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของตนเท่านั้น โดยผู้ประพันธ์ได้มองและพูดในมุมมองของธรรมชาติ ซึ่งก็นับว่าเป็นการให้ความยุติธรรมกับธรรมชาติ ในฐานะที่ธรรมชาติก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศเช่นเดียวกับมนุษย์ประเด็นที่สาม การตั้งเงื่อนไขและราคา เป็นสิ่งกำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ มนุษย์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของธรรมชาติแม้จะโดยไม่เต็มใจ ประเด็นนี้ยิ่งตอกย้ำว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่เหนือกว่ามนุษย์ แต่เราจะละเลยประเด็นเรื่องความเมตตาของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์ไปเสียเลยย่อมไม่ได้ เพราะธรรมชาติก็ให้คุณแก่มนุษย์เช่นกัน จากเรื่องภูตน้ำก็บันดาลสิ่งที่ทั้งเจนและวิณณ์ร้องขอ ให้สมตามความปรารถนาได้ดังนั้นจากการมองบทละครตามแนวการวิจารณ์เชิงนิเวศเห็นได้ว่าเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับธรรมชาติเป็นอย่างมาก สะท้อนมุมมองความคิดว่าธรรมชาติเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และยิ่งใหญ่เหนือกว่ามวลมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ ซึ่งจากเรื่องใช้ความเป็นอื่นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ คือ ความเกรงกลัวในอำนาจลึกลับของธรรมชาติมานำเสนอ เพื่อให้แง่คิดแก่มนุษย์ เรียกร้องให้มนุษย์ลดความหยิ่งทะนงในเผ่าพันธุ์ ยอมรับ และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสงบสุข