รีเซต

ASKคงเป้าสินเชื่อ3.7หมื่นล. กังวลเงินเฟ้อกดดันลูกหนี้

ASKคงเป้าสินเชื่อ3.7หมื่นล. กังวลเงินเฟ้อกดดันลูกหนี้
ทันหุ้น
13 มิถุนายน 2565 ( 12:23 )
124

#ASK #ทันหุ้น – ASKโชว์ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ 5 เดือนแรกที่ 15,000 ล้านบาท มองแนวโน้มยังขยายตัวเพิ่ม หนุนจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ สินค้าภาคเกษตร และการท่องเที่ยวฟื้น กังวลครึ่งปีหลังจับตาราคาน้ำมันอาจกระทบต่อการชำระหนี้ พร้อมคงเป้ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่แตะ 37,000 ล้านบาท ดันพอร์ตสินเชื่อคงค้างสิ้นปี 2565 ที่ 66,000-67,000 ล้านบาท

 

นายดนัย  ลาภาวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 1/2565 บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 9,114 ล้านบาท โดยในช่วง เม.ย. -พ.ค. 2565 บริษัทได้ปล่อยสินเชื่อเพิ่มอีกราว 6,000 ล้านบาท รวม 5 เดือนปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 15,000 ล้านบาท

 

“แนวโน้มสินเชื่อคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เนื่องจากความต้องการรถบรรทุกเพื่อการขนส่งยังมีดีมานด์เข้ามาตามการเติบโตของธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ รวมถึงสินค้าภาคเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกร ส่วนลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น รถแท็กซี่ มินิบัส รถตู้ระหว่างเมือง จะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องหลังมีการเปิดเมือง ซึ่งทำให้ความต้องการสินเชื่อของลูกค้ากลุ่มนี้เริ่มกลับมา”

 

ปัจจุบัน ASK มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 10 เท่า ตามสัญญา โดยสิ้นไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 9.6 เท่า และมีแผนออกหุ้นกู้ในปีนี้ จำยวน 5-6 พันล้านบาท

 

เป้าสินเชื่อ 3.7 หมื่น

โดยเป้าหมายในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ประมาณ 37,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อจาก บริษัทเเม่ เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK ที่ราว 26,500 ล้านบาท เเละจากบริษัทย่อย กรุงเทพแกรนด์แปซิฟิคลีส จำกัด (มหาชน) หรือ BGPL อีกราว 10,500 ล้านบาท

 

โดยพอร์ตสินหลักๆ จะมาจากการปล่อยสินเชื่อรถบรรทุก ทั้งรถยนต์ใหม่เเละเก่าโดยคาดว่าจะมีสัดส่วนราว 30,000 ล้านบาท ในปีนี้และที่เหลือจากมาการปล่อยสินเชื่อรถยนต์พรีเมียม เเละการปล่อยสินเชื่อสินเชื่อจำนำทะเบียน เป็นต้น ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อคงค้าง สิ้นปี 2565 ที่ 66,000-67,000 ล้านบาท

 

กังวลราคาน้ำมันกระทบ

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทมีความกังวลในเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2565 ทำให้อาจจะกระทบต่อสินเชื่อรถบรรทุกที่เติมน้ำมันเป็นหลัก เเละเป็นพอร์ตสินหลักของบริษัท อย่างไรก็ดีรถบรรทุกยังต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตใช้ในการขนส่งสินค้า เเละคาดว่ากว่า 50-60% เป็นรถบรรทุกที่มีสัญญาที่รองรับความผันผวนของราคาน้ำมันจึงไม่น่าเป็นห่วง ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นลงอย่างรวดเร็วโดยจะต้องไปต่อรองกับผู้ว่าจ้าง เพื่อกำหนดราคาใหม่

 

ขณะเดียวกันบริษัทเผชิญกับต้นทุนการเงินสูงขึ้นกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ในปัจจุบันมีสัดส่วนที่คงอัตราดอกเบี้ยคงที่ 85% ของพอร์ต ส่วนอีก 15% ขึ้นกับดอกเบี้ยในตลาด ทำให้หากปีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยจะรับผลกระทบไม่มาก แต่ก็จะกระทบในปีหน้า ซึ่งบริษัทพยายามปรับเพิ่มพอร์ตมาที่สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรถบรรทุกมือสอง เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น

 

นายอนุฤทธิ์ วงศ์อุดม ประธานเจ้าหน้าที่สินเชื่อการตลาดกล่าวว่า ยอดขายรถบรรทุกในปีที่แล้วสูงมาก แต่มาปีนี้เติบโตในอัตราต่ำ แต่การแข่งขันสินเชื่อรถเช่าซื้อรถบรรทุก ไม่มีรายใหม่เข้ามา มีเพียงผู้เล่น 3-4 ราย ซึ่งทุกรายก็มีอัตราเติบโตได้ค่อนข้างดี โดยการผลิตรถบรรทุกเริ่มล่าช้าและสินค้าเริ่มขาด และการต่อรถพ่วงก็ทำให้ล่าช้า ทำให้ตลาดรถบรรทุกมือสองคึกคักราคาเริ่มสูงขึ้น เพราะความต้องการยังสูงอยู่

 

ขึ้นดอกเบี้ยไม่กระทบ

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้า และชำระไม่ตรงตามกำหนดบ้าง เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว  ซึ่งบริษัทได้เตรียมการช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าจะไม่กระทบต่อบริษัทในปีนี้ เนื่องจากบริษัทได้คงอัตราดอกเบี้ย (Fixed Rate) ไว้ที่ 85% ของพอร์ต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง