ในยุคปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากสิ่งที่อยู่รอบตัว ทั้งในเรื่องของความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การเรียน รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาใหญ่ของใครหลาย ๆ คน สิ่งเหล่านี้ ก่อให้เกิดความเครียดสะสม จนในที่สุด เกิดเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นมาได้ หรืออีกสาเหตุหนึ่ง ก็เกิดขึ้นได้จากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง เมื่อมีการหลั่งที่ไม่สมดุล ก็จะส่งผลต่ออารมณ์และก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน ผู้เขียนเป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้ามาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี แม้ในตอนนี้ อาการป่วยจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังต้องทานยาที่หมอสั่งอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ต้องเผชิญกับโรคนี้ ก็มีเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ได้เรียนรู้และปรับเปลี่ยน เพื่อนำไปใช้เป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า ซึ่งมีหลายข้อคิดที่ผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นการตกตะกอนทางความคิด ที่น่าจะนำมาบอกเล่าเพื่อจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน รวมทั้งผู้ที่กำลังต่อสู้อยู่กับโรคซึมเศร้าได้ ข้อคิดที่ 1 การไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย หากจะมองตามความเป็นจริง โรคซึมเศร้าเป็นอีกหนึ่งอาการป่วย ที่จะต้องได้เข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน บางครั้งพวกเราอาจจะติดภาพจากละครหรือภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นว่า สถานพยาบาลที่เกี่ยวกับจิตเวชเป็นสถานที่ที่น่ากลัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรงพยาบาลจิตเวช เป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูงเช่นเดียวกับโรงพยาบาลประเภทอื่น ๆ อีกทั้งสิ่งที่เราได้บอกเล่าให้จิตแพทย์และพยาบาลได้ฟัง เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสมนั้น สิ่งเหล่านั้นจะถูกเก็บเป็นความลับเช่นเดียวกับประวัติการรักษาด้านอื่น ๆ การเข้าพบจิตแพทย์จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเหมือนในหนังหรือในละคร ข้อคิดที่ 2 ควรมองโลกในแง่บวกและให้พลังบวกแก่ตัวเองอยู่เสมอ พื้นฐานความคิดของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า อาจจะมีความไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความคิดด้านลบที่จะมากเป็นพิเศษ การรับประทานยาตามที่หมอสั่ง จะช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมองได้ ทำให้ความคิดของผู้ป่วยมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ การเพิ่มความคิดในทางบวกให้แก่ตนเอง ก็จะยิ่งส่งเสริมให้อาการป่วยจากโรคซึมเศร้ายิ่งดีขึ้นไปได้อีก การคิดบวก อาจเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นต้นว่า การรู้จักชื่นชมตัวเองเมื่อทำสิ่งใดได้ดีขึ้น เช่น สามารถออกกำลังกายได้เป็นเวลาที่นานมากขึ้นกว่าครั้งก่อน เป็นต้น ข้อคิดที่ 3 หัดยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ในทุก ๆ คน จะต้องมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยเหมือนกันทั้งนั้น หากเราเลือกที่จะโฟกัสอยู่ที่จุดด้อยของตนอยู่ตลอดเวลา ย่อมจะส่งผลต่อสุขภาพจิตและความเครียด หากมองในทางที่ดี การที่เราสามารถมองเห็นจุดด้อยในตนเองนั้น จะทำให้เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพของเราให้ดีขึ้นได้อย่างถูกทิศทาง ซึ่งเมื่อมันดีขึ้นแล้ว ก็จะส่งผลให้เรารู้จักภาคภูมิใจในตัวเองได้เช่นกัน ข้อคิดที่ 4 ต้องรู้จักคลายเครียด เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะไม่สามารถเลือกพบเจอแต่เรื่องราวดี ๆ ได้เสมอไป สภาพแวดล้อมรอบตัว หรือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่าง ๆ มักก่อให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลได้บ่อยครั้ง การพาตัวเองออกไปจากห้วงความเครียด ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถช่วยให้เราผ่อนคลายได้ เช่น การได้รับประทานอาหารที่ชอบ การพาตัวเองออกไปเที่ยวยังสถานที่ใหม่ ๆ การได้ทำงานอดิเรกที่เพลิดเพลินใจ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพลังใจให้แก่ตัวเราเองได้อย่างมาก เมื่อมีพลังใจที่ดี ก็จะส่งผลให้เรา พร้อมที่จะต่อสู้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ดี หรือเรื่องราวที่ไม่ดีก็ตาม ข้อคิดที่ 5 รู้จักวิธีการระบายเรื่องราวที่ตนเองกำลังเป็นทุกข์ การเก็บเรื่องราวที่เป็นทุกข์ไว้ในใจเพียงลำพังนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นแม้แต่น้อย การมีคนที่ไว้ใจได้และสามารถบอกเล่าเรื่องราวนั้น ๆ แก่เขาฟังได้ ก็จะช่วยคลี่คลายความทุกข์ในใจได้อีกทางหนึ่ง หรือบางท่าน อาจรู้สึกว่าไม่มีคนที่ไว้ใจได้อยู่ใกล้ตัว การเลือกที่จะเขียนหรือพิมพ์ความรู้สึกต่าง ๆ ภายในใจ ก็เป็นอีกหนึ่งการระบายความรู้สึกได้เช่นกัน ข้อคิดทั้ง 5 ข้อที่ผู้เขียนนำมาบอกเล่าในวันนี้ ทุกข้อผู้เขียนล้วนเคยได้นำไปปฏิบัติจริงมาแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีนี้ อาจไม่ได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น หากแต่ต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนสักระยะหนึ่ง อยากให้ทุกท่านที่ต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้า ปฏิบัติแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่บังคับตนเอง หรือ เร่งเร้าผลลัพธ์มากจนเกินไปสุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ที่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและคนใกล้ตัวของผู้ป่วย จะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้เขียนมีความสุขมากขึ้นได้แล้วค่ะ เครดิตรูปภาพจาก : pixabay.com