นวนิยาย เรื่อง ลูกอีสาน ผลงานสร้างสรรค์จากคำพูน บุญทวี ลูกอีสานขนานแท้ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริงอิงนิยายของครอบครัวตน ในยุคหนึ่งที่แผ่นดินอีสานแห้งแล้ง ผู้คนแสวงหาความชื่นฉ่ำจากสายน้ำและหยาดฝน ดิ้นรนประทังชีวิตอันแร้นแค้น นวนิยายดำเนินเรื่องผ่านชีวิตของตัวละครเด็กชายคูน ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ครอบครัวของคูนมีสมาชิก 5 คน ประกอบด้วย พ่อ แม่ คูน ผู้เป็นพี่ชายของน้องสาวสองคนชื่อยี่สุ่น และบุญหลาย ครอบครัวของคูนมีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ขณะนั้นผืนดินเหือดแห้งติดต่อกันมาหลายปี อาหารก็เริ่มขาดแคลน ครอบครัวของคูนจึงต้องดิ้นรนบนความแห้งแล้ง ลูกอีสาน แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นบทจำนวน 36 บท เนื้อเรื่องช่วงแรก ตั้งแต่บทที่ 1 – 17 เล่าถึง เด็กชายคูนที่อยู่ในวัยพอรู้ความ เริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทั้งการใช้ชีวิตบนผืนดินที่แห้งแล้ง การหาอาหาร การรักษาจารีตประเพณี การเข้าสังคม เรียนรู้คนรอบข้าง และได้เข้าโรงเรียน ในขณะที่ชาวบ้านหลายคนทิ้งบ้านเรือนไปอยู่ที่ใหม่เพื่อหาเลี้ยงประทังชีวิต พ่อของคูนยังพยายามดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัวอยู่ที่เก่า ความแห้งแล้งที่ยาวนานขึ้น การหาอาหารก็ยากลำบากมากยิ่งขึ้น พ่อจึงตัดสินใจทิ้งบ้านช่วงคราว พาครอบครัวเดินทางไกลไปหาปลาต่างถิ่น เนื้อเรื่องช่วงหลังตั้งแต่บทที่ 18 – 36 เล่าถึง การเดินทางไกลครั้งแรกของเด็กชายคูน บนหนทางที่ยากลำบาก จากหมู่บ้านในเขตจังหวัดอุบลราชธานี มุ่งหน้าสู่แม่น้ำชีในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด คูนได้เห็นแม่น้ำใหญ่เป็นครั้งแรก ผืนดินแถวนั้นอุดมสมบูรณ์ คณะเดินทางจึงขวนขวายสะสมอาหารให้มาก นำกลับไปสู่ความแห้งแล้งอันยาวนานที่หมู่บ้านตน ขณะกำลังเดินทางกลับ สายฝนที่รอคอยมานานก็พร่ำพรูตลอดทาง ผืนดินในหมู่บ้านไม่แห้งแล้งอีกแล้ว ชาวบ้านเริ่มปลูกข้าวทำนา และจัดงานบุญใหญ่สร้างความครื้นเครง ทุกคนต่างมีความสุข แล้วคูนก็ได้เข้าใจว่า ทั้งความแห้งแล้งและความชุ่มฉ่ำ คูนยังจะต้องพบกับมันอีก เพราะคูนเป็นลูกอีสานตลอดกาลนวนิยาย เรื่อง ลูกอีสาน ในความคิดของข้าพเจ้าเสมือนตอกย้ำปรัชญาอันเลื่องชื่อของขงเบ้ง ที่กล่าวไว้ว่า “เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน” ปรัชญานี้มิใช่เพียงคำพูดลอยลมของกวี ทว่าคือสัจธรรมอันแท้จริงที่ทุกชีวิตย่อมพบเจอ ซึ่งย่อหน้าสุดท้ายของนวนิยายก็สะท้อนสัจธรรมนี้ได้เป็นอย่างดีคูนนั่งน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ลืมตาขึ้นก็เห็นพ่อกับแม่นั่นเบียดอยู่แนบแน่น พ่อถามว่าร้องไห้เพราะดีใจใช่ไหมลูก คูนหงึกคอให้พ่อแล้วยิ้มทั้งน้ำตา บักจันดีพูดว่าบักคูนจะเป็นใบ้แล้วหรือไง แต่คูนพูดไม่ออก บางครั้งก็ดูเหมือนเสียงระฆังโรงเรียนกังวานขึ้นแหง่งหง่าง...บางครั้งก็มีเสียงหลวงพ่อเคนกังวานอยู่ในหู...ฟ้าไม่เคยลงโทษใคร...แต่นี้ต่อไปมึงอย่าโทษฟ้า...บรรยากาศวันนั้นมันเหมือนกับเดี๋ยวนี้และวันนี้...คูนยังจะต้องพบกับมันอีก เพราะคูนเป็นลูกอีสาน เป็นหลานของปู่ขาลาย...ที่ไม่เคยโทษฟ้าเหมือนคำสอนของหลวงพ่อเคย และคำสอนของพ่อที่ยังตรึงตราอยู่ในหัวใจของคูนเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ (ลูกอีสาน หน้า 310)ความแห้งแล้งเป็นสิ่งที่ลูกหลานผู้เกิดบนแผ่นดินอีสานทุกคนต้องพบเจอ ความแห้งแล้งนำมาซึ่งความยากลำบากในการดำรงชีวิต ทุกคนล้วนตระหนักดี กระทั่งเด็กน้อยผู้ผ่านร้อนมาไม่กี่ปีก็ยังรู้ซึ้ง ทว่าผืนดินที่ทรหดสร้างยอดคนผู้อดทน ความแห้งแล้งมิใช่อุปสรรคของชีวิตแต่เป็นบททดสอบให้ลูกอีสานทุกหย่อมหญ้ากล้าแกร่ง และเรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตบนแผ่นดินเกิดได้อย่างไรความแห้งแล้งสอนให้เรียนรู้ธรรมชาติเพื่อง่ายต่อการแสวงหาอาหารมาประทังชีวิต ก่อกำเนิดวิถีทำกินและภูมิปัญญาการทำอาหารที่สืบทอดมาช้านาน ล้วนเป็นสิ่งที่ลูกหลานบนแผ่นดินอีสานเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ได้ถึงแก่นแท้ “ทำไมจึงเรียกแจ่วบ้องละแม่” “แจ่วชนิดนี้เอาไว้กินเป็นเดือนเป็นปีก็ไม่เสีย บางทีก็ผัดให้สุกอีกทีหนึ่งแล้วผัดลงไว้ในกระบอกไม้ไผ่เวลาเดินทางไกล” “ทำไมจึงเรียกแจ่วบ้องละแม่” “ก็เขาใส่ในบ้องไม้ไผ่น่ะซิ เขาจึงเรียกว่าแจ่วบ้อง” “ครับแม่ วันหลังผมจะหัดทำ” “ใช่แล้ว แจ่วบ้องหรือลาบปลาร้าทุกคนต้องทำเป็น” แม่ว่าแล้วจึงจัดแจงล้างอีโต้และเขียง มีเสียงน้ำไหลลงใต้ถุนครัวดังกรากๆ (ลูกอีสาน หน้า 28)ความแห้งแล้งสอนให้เหนียวแน่นกลมเกลียวเหมือนข้าวเหนียวนึ่งซึ่งเป็นอาหารหลักของทุกครัวเรือน เพราะยากลำบากจึงรู้จักเผื่อแผ่แบ่งปัน ดังสำนวนที่ว่า “ใจเขาใจเรา” ลูกอีสานบนแผ่นดินเดียวกันจึงเข้าใจกันดีผู้ใหญ่บ้านบอกว่าพรุ่งนี้หมู่บ้านของแกจะลงจับปลาในหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งเป็นหนองสงวนสำหรับชาวบ้านจึงมาบอกให้ไปจับปลาที่นั่น ลุงกาถามว่าชาวบ้านไม่ว่าหรือ ผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่าชาวบ้านของแกยินดีให้ไปจับ เพราะเห็นใจที่พากันรอนแรมมาไกล ลุงเข้มพูดว่าถ้าอย่างนั้นก็ขอบใจหลาย ๆ น้ำใจชาวบ้านทางนี้ดีแท้ๆ พวกเราจะไม่ลืมความดีนี้ตลอดไป (ลูกอีสาน หน้า 201)นวนิยาย เรื่อง ลูกอีสาน เสมือนเป็นเครื่องเชิดชูจิตวิญญาณนักสู้ของลูกอีสานผู้เกิดบนแผ่นดินที่แห้งแล้งมาอย่างยาวนาน ข้าพเจ้าตระหนักว่า นวนิยายเรื่องนี้สมควรเป็นความภูมิใจของชาวอีสานได้อย่างภาคภูมิ ทว่าสำหรับผู้อ่านที่มิใช่ชาวอีสาน นวนิยายเรื่องนี้สะท้อนชีวิตชาวอีสานให้รับรู้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ว่าบางคนอาจมองชาวอีสานในมุมที่แปลกแยกไปจากตน เพียงเพราะไม่เข้าใจอย่างแท้จริงและยึดตนเป็นที่ตั้ง แท้ที่จริงแล้วชาวอีสานส่วนใหญ่ล้วนให้ความสำคัญกับการศึกษา สุขอนามัย และยึดมั่นในคุณงามความดีไม่ต่างไปจากคนภูมิภาคอื่นใด หากมีสิ่งใดที่ทำให้ชาวอีสานต่างออกไป ย่อมต้องเป็นขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อที่ยึดถือกันมาช้านาน เช่น การสักลาย เชื่อเรื่องผีปอบ ผีเรือน ผีตายาย อาหารการกิน เป็นต้น รวมถึงวิถีชีวิตบนแผ่นดินอันแห้งแล้ง สิ่งเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลูกอีสานที่บ่งบอกชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี นวนิยาย เรื่อง ลูกอีสาน มิได้เต็มเปี่ยมด้วยเนื้อหาสาระดังที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของนวนิยายเรื่องนี้ คือ ความงามทางภาษาที่ผู้เขียนสร้างสรรค์ขึ้น ผู้เขียนดำเนินเรื่องโดยใช้ภาษาถิ่นอีสานผสมผสานกับภาษาไทยมาตรฐานได้พอเหมาะ สอดแทรกด้วยสำนวนภาษาถิ่น ผญา และกลอนลำตลอดทั้งเรื่อง สำหรับผู้อ่านที่มิใช่ชาวอีสาน แม้ไม่รู้ภาษาถิ่นอีสานก็พอจะอนุมานความหมายตามบริบทเนื้อเรื่องได้ ส่วนผู้อ่านลูกอีสานขนานแท้คงคล้อยตามได้อย่างง่ายดายและเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง เสมือนอ่านเรื่องใกล้ตัวของคนบ้านเดียวกัน ลูกอีสานในนวนิยายจบลงที่บรรทัดสุดท้าย ทว่าลูกอีสานทั่วถิ่นแดนไทยยังคงโลดแล่นใช้ชีวิตอย่างไม่มีวันจบ ตราบใดที่แผ่นดินอีสานยังเป็นถิ่นกำเนิดของลูกอีสานคนแล้วคนเล่าตลอดกาล ภาพหนังสือ ถ่ายเองภาพอื่น ๆ- Pixabay- Pexels- Pixabay